อุซเบกิสถาน เติร์กเมนิสถาน อู่อารยธรรมใจกลางเส้นทางสายไหม part 2

October 9, 2019
Highlight of the month

อีกหนึ่งประเทศที่ได้รับเอกราชหลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย เติร์กเมนิสถาน อดีตอาณาจักรโบราณที่สั่งสมอารยธรรมมายาวนานถึง 4,000 ปี มีเมืองโบราณ รวมถึงสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์มากมายท่ามกลางภูมิทัศน์ทะเลทราย โอเอซิส และเทือกเขาปาร์มี มีพรมแดนติดกับอุซเบกิสถาน และคาซัคสถานทางตอนเหนือ ติดกับอัฟกานิสถาน และอิหร่าน ทางตอนใต้ โดยมีพื้นที่ชายฝั่งตะวันตกติดกับทะเลแคสเปียน ปัจจุบันเมืองหลวงคือ กรุงอาชกาบัต ที่เร่งสร้างตัวเองขึ้นอย่างรวดเร็ว

การเดินทางสำรวจสามารถเชื่อมต่อกับประเทศอุซเบกิสถานได้อย่างสะดวกสบาย โดยมีสถานที่แนะนำโดย Planet Blue Travel ดังต่อไปนี้

Merv เมืองโบราณ เมอร์ฟ

เมืองโอเอซิสเก่าแก่บนทะเลทรายคาราคุม เป็นหนึ่งในเส้นทางสายไหมในเอเชียกลาง ที่มีแหล่งโบราณคดีสะท้อนอารยธรรมกว่า 4,000 ปีซ้อนทับกันหลายยุคสมัย โดยกลุ่มซากเมืองโบราณถูกเรียกขานในนาม อาร์เคเมนิด ซาตราฟี่ (Achaemenid Satrapy) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ประกอบไปด้วย 5 กลุ่มโบราณสถาน ได้แก่ Erk Kala, Gyaur Kala, Sultan Kala, Abdulla Khan-Kala และ Bairam-Ali Khan-Kala ที่ไม่ควรพลาดเยือน อาทิ

1) Erk Kala หรือ ปราการแห่งเอิร์ก (Kala หมายถึง ปราสาท หรือป้อมปราการ) เป็นป้อมปราการที่เก่าที่สุดในหมู่ซากโบราณสถานเมอร์ฟ ในสถาปัตยกรรมเปอร์เซียโบราณ ภายในเป็นชุมชนขนาดใหญ่และเป็นเมืองควบคุมเส้นทางการค้าในเขตโอเอซิส รวมถึงมีเมืองมาร์กัสห์ที่เคยเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรมาซิโดเนีย ปัจจุบัน ป้อมแห่งนี้เหลือเป็นซากเนินดินทรงวงกลมขนาดใหญ่ ที่เรายังสามารถพบซากพระราชวัง และจัตุรัสกลางเมือง

2) Gyaur Kala หรือ ป้อมปราการกัยยอร์ มีอายุย้อนหลังไปได้ถึงค.ศ. 1000  ผังเมืองเป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส กำแพงแต่ละด้านยาวราว 2 กิโลเมตร ปัจจุบันภายใน หลงเหลือซากมัสยิดเบนมาข่าน (Ben Makhan Mosque) ซากสถูป และมหาวิหารทางพุทธศาสนา

3) Sultan Kala หรือ ปราการแห่งสุลต่าน ตั้งอยู่ทางตะวันตกของกัยยอร์คาล่า สร้างราวศตวรรษที่ 11 ซึ่งเป็นช่วงที่เมอร์ฟเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรเซลจุค และมีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุด ตัวเมืองล้อมรอบด้วยกำแพงเมืองและคูเมืองซึ่งมีความยาวรอบถึง 12 กิโลเมตร

Mausoleum of Sultan Sanjar  สุสานสุลต่านซันจาร์ สถาปัตยกรรมที่งดงามและสมบูรณ์แบบที่สุดในเมืองโบราณเมอร์ฟ มีชื่อเรียกในภาษาเตอร์กิกว่า ดาร์ อัล อัคเครห์ (Dar-al-Akhyre) สะท้อนถึงความสำเร็จและความมั่งคั่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาณาจักรเซลจุค โดยสุลต่านซันจาร์ ได้รับการยกย่องเป็นวีรบุรุษแห่งเซลจุกเติร์ก ท่านเป็นผู้ปกครองแคว้นทรานซอกซาเนีย และยังเป็นสุลต่านแห่งแคว้นอิหร่านตะวันออกด้วย

Greater Kyz Kala and Lesser Kyz Kala  ป้อมปราการใหญ่ และป้อมปราการน้อยคิซ คาล่า สิ่งก่อสร้างที่โดดเด่นที่สุดในหมู่โบราณสถานแห่งเมอร์ฟ ลักษณะป้อมทุกด้านสอบขึ้นด้านบนเล็กน้อย ก่ออิฐแบบลูกฟูกดูแปลกตา โดยตัวป้อมใหญ่นั้นหลงเหลือในสภาพสมบูรณ์กว่า

Talhatan Baba Mosque มัสยิด ทาลฮาทาน บาบา มรดกทางศิลปะสถาปัตยกรรมอิสลามชั้นเยี่ยม สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12 โครงสร้างโดดเด่นด้วยการวางเรียงก้อนอิฐตามหลักเรขาคณิต โดยได้รับการบูรณะในช่วงปี ค.ศ. 1987 – 1988 ได้อย่างงดงามดังที่เห็นในปัจจุบัน

Ashkabs Mausoleum สุสานโดมคู่อัซห์คับส์ โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมเปอร์เซียนโบราณ การการสร้างในลักษณะโดมคู่ ซึ่งมีให้เห็นไม่มากนัก คล้ายกับศิลปะที่พบในอาณาจักรโคเรสซัมเหนือ ที่เมืองคูนยา อูร์เกนช์ โดยสุสานได้รับการบูรณะใหม่เมื่อไม่นานมานี้

Yusuf Khamadani Mosque สุเหร่ายูซุฟ คามาดานี สถานที่ฝังศพของ อาบู ยาคุป ยูซุฟ อิบิน อายุบ (Abu-Yakub Yusuf ibn Ayub) ผู้นำในนิกายซูฟี นาคส์เบนดิ ท่านถือกำเนิดที่เมืองฮาเมดาน ในอิหร่านตะวันตก และมาตั้งรกรากที่เมืองเมอร์ฟ ระหว่างปีค.ศ. 1048 – 1140 สุสานของท่านได้รับการบูรณะขั้นในศตวรรษที่ 19 ด้วยหินอ่อนสีดำ ตกแต่งด้วยลวดลายดอกไม้และลายอักษรอาหรับวิจิตร ปัจจุบันถือเป็นจุดหมายแห่งการแสวงบุญของชาวมุสลิมในเอเชียกลาง

Mary

มารี เป็นเมืองหลวงแห่งแคว้นมารี ซึ่งตั้งอยู่ในเขตโอเอซิสทะเลทรายคาราคุม บนพื้นที่อันอุดมสมบูรณ์ เพราะมีทั้งคลองคาราคุมและแม่น้ำมูร์กับห์ เป็นแหล่งชลประทานสำคัญ สถานที่น่าเยือน อาทิ

Mary National History and Ethnology Museum พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์และชาติพันธุ์แห่งชาติเมืองมารี เริ่มเปิดให้เข้าชมตั้งแต่ปี ค.ศ. 1984 ในสถาปัตยกรรมทรงบล็อก ซึ่งแต่เดิมอาคารหลังนี้เป็นโรงงานทำอิฐ   ปัจจุบันมีนิทรรศการแสดงชาติพันธุ์ของชาวเติร์กเมน รวมถึงวัฒนธรรมในยุคสมัยต่างๆ มาจนถึงยุคที่ถูกครอบครองโดยรัสเซีย\

Pokrovskaya Church โบสถ์รัสเซียโพครอฟสกาย่า สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1900 ในสถาปัตยกรรมแบบรัสเซียนออร์โธดอกซ์งดงาม ภายในใช้สีฟ้าทั้งผนังและลายเส้นตกแต่ง รวมถึงมีภาพไอคอนนักบุญมากมายหลายองค์

Ashgabat เดินทางสู่เมืองหลวงอาชกาบัต ในภาษาเปอร์เซียมีความหมายว่า เมืองแห่งความรัก ตั้งอยู่ระหว่างทะเลทรายดำคาราคุม และเทือกเขาโคเป็ทแดก (Kopet Dag) เป็นที่ตั้งของที่ทำการรัฐบาล และศูนย์กลางการบริหารประเทศ สถานที่สำคัญของอาชกาบัต ได้แก่

Oguzkhan Presidential Palace ทำเนียบประธานาธิบดีโอกูซข่าน ตั้งอยู่บริเวณจัตุรัสอิสรภาพ อาคารสร้างในสถาปัตยกรรมร่วมสมัย ผสมผสานศิลปะแบบเปอร์เซียโบราณ โดดเด่นด้วยยอดโดมสีทองประดับธงชาติเติร์กเมนิสถาน มีความโอ่อ่าอลังการด้วยน้ำพุประดับ และอาคารหินอ่อนสีขาว

Independence and Peace Monument อนุสรณ์สถานแห่งเอกราชและสันติภาพ สถาปัตยกรรมได้รับแรงบันดาลใจจากเต็นท์และหมวกสตรีชาวเติร์กเมน รายละเอียดการก่อสร้างล้วนเกี่ยวเนื่องกับวันที่ได้รับอิสรภาพ 27 ตุลาคม 1991 กล่าวคือ อนุสรณ์มีขนาดรวม 91 เมตร โดยมีส่วนหอคอยประดับยอดด้วยทองคำสูง 27 เมตร และมีจุดชมวิวด้านบน พื้นที่เส้นผ่านศูนย์กลาง 10 เมตร ลานด้านหน้ามีอนุสาวรีย์สีทองของประธานาธิบดีคนแรก Saparmurat Niyazov

National Museum of Turkmenistan พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ที่รวบรวมสมบัติชิ้นสำคัญ ๆ ทางโบราณคดีรวมถึงศิลปวัตถุยุคโบราณไว้มากมายกว่า 500,000 ชิ้น ภายใน 9 ห้องนิทรรศการ โดยเฉพาะในห้องเกี่ยวกับโบราณคดี และชาติพันธุ์ มีการจัดแสดงเครื่องแต่งกาย เครื่องมือเครื่องใช้ เครื่องดนตรี อาวุธ เหรียญกษาปณ์โบราณ งานแกะสลักเรือจากงาช้าง รูปปั้นเทพี หรือเทพธิดาของอาณาจักรปาร์เธียน แห่งเปอร์เซีย สะท้อนอารยธรรมชั้นสูงในอดีตที่ควรค่าแก่การเข้าชมยิ่งนัก

Parthian Fortress of Nisa ปราการปาร์เธียน แห่งเมืองนิซา เมืองหลวงของจักรวรรดิปาร์เธียนที่ทรงอำนาจ และครอบครองภูมิภาคแถบนี้ระหว่าง 300 ปีก่อนคริสตกาล จนถึงศตวรรษที่ 3 เป็นปราการป้องกันการรุกรานของกองทัพโรมันที่แผ่อำนาจเข้าไป ซากปรักหักพังที่หลงเหลือ สะท้อนถึงความเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมในยุคนั้น ผ่านอาราม ราชวัง ท้องพระคลัง โกดังเก็บผลผลิต มีหอรบทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าราว 43 หอ และนิซายังเป็นเมืองการค้าสำคัญ ที่ถ่ายรับวัฒนธรรมประเพณีระหว่างเปอร์เซีย กรีก และเอเชียกลางในยุคนั้น

Kipchak Grand Mosque มหาสุเหร่าคิพชัค ตั้งอยู่บริเวณชานเมืองอาชกาบัต เป็นสุเหร่าที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียกลาง โดดเด่นด้วยยอดโดมทองคำ ขนาด 50 เมตร และหอขานสูง 91 เมตรทั้งสี่ด้าน ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่อลังการ สร้างโดยประธาธิบดีจอมเผด็จการคนแรกของเติร์กเมนิสถาน ซาปาร์มูรัต นิยาซอฟ เพื่ออุทิศให้กับมารดา พร้อมกับสุสานในบริเวณเดียวกัน ซึ่งร่างของซาปาร์มูรัตและมารดาได้ถูกฝังอยู่ ตัวสุเหร่าสร้างด้วยหินอ่อนคาร์ราราสีขาวจากอิตาลี ปูพื้นด้วยพรมทอมือขนาดมหึมา และรองรับผู้เข้าสวดได้พร้อมกันถึง 10,000 คน

Tolkuchka Bazaar  โทวคุชคา บาซาร์ ตลาดกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียกลาง ตั้งอยู่บริเวณทะเลทรายชานเมืองอาชกาบัต เป็นตลาดสินค้ามือสอง และสินค้าอุปโภคบริโภคที่ชาวเติร์กเมนนิยม ตั้งวางขายกันยาวหลายกิโลเมตร ไม่ว่าจะเป็นพรม เครื่องจักร เครื่องนุ่งห่ม เครื่องเทศ ของสด ผลไม้ แผงขายเนื้อ อูฐ แพะ แกะ และสินค้าจากรัสเซียราคาไม่แพง

Kow Ata Underground Sulfur Lake ทะเลสาบกำมะถันใต้พิภพ โคว์ อะทา ชื่อมีความหมายว่า บิดาแห่งทะเลสาบ เป็นบ่อน้ำร้อนหรือทะเลสาบที่พบอยู่ภายในถ้ำ ที่ต้องไต่บันไดจากปากถ้ำลึกลงไปกว่า 52 เมตร ครอบคลุมพื้นที่ถึง 2,700 ตารางเมตร น้ำในทะเลสาบมีสีเขียวมรกต ใสจนสามารถมองทะลุเห็นพื้นหินก้นบ่อ และมีความร้อน 33 – 37 องศาเซลเซียส อันเกิดจากปฏิกิริยาของกำมะถัน ทะเลสาบมีความลึกสุด 13 เมตร ขนาดกว้างราว 30 เมตร สามารถทดลองลงแช่น้ำร้อนที่มีคุณสมบัติด้านวารีบำบัดได้

Arkadash Stud Farm ฟาร์มม้าอาร์คาดาช เยือนฟาร์มม้าสายพันธุ์เยี่ยมแห่งเติร์กเมน นับแต่อดีตกาลชายชาวเติร์กเมนมีความผูกพันกับม้า จนเป็นที่กล่าวขานว่าเป็นชายผู้ถืออาวุธบนหลังม้า และม้ายอดสายพันธุ์ Akhal-Teke นั้นได้รับการพิสูจน์บนหน้าประวัติศาสตร์แล้วว่า เป็นม้าฝีเท้าเร็วที่สุดในโลก

Karakum Desert  เข้าสู่ตอนกลางของทะเลทรายคาราคุม (อยู่ระหว่างเมืองอาชกาบัตและเมืองคูนยา อูร์เกนช์)  โดยมีหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อว่า ดาร์วาซา (Darvaza) เป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ และเป็นที่ตั้งของ ประตูนรกแห่งเติร์กเมนิสถาน (Door to Hell Darvaza) อันเป็นหลุมก๊าซกว้าง 70 เมตร ที่อยู่บนพื้นทะเลทรายคาราคุม ที่ลุกโชติช่วงมานานกว่า 40 ปี ซึ่งเกิดจากความบังเอิญระหว่างการขุดเจาะหาน้ำมันของวิศกรโซเวียต โดยบริเวณใกล้ๆ ยังมีหลุมลักษณะเดียวกันอีก 2 หลุม ได้แก่ หลุมน้ำก๊าซยักษ์ (Water Gas Crater) ที่มีน้ำสีเขียวมรตก และมีพรายฟองก๊าซผุดขึ้นตลอดเวลา และหลุมก๊าซโคลนยักษ์ (Mud Gas Crater) กับโคลนที่เดือดปุดๆ ตลอดเวลา จึงนับเป็นความแปลกประหลาดทางธรณีวิทยาที่น่าศึกษาอย่างยิ่ง

Kunya Urgench คูนยา อูร์เกนช์ เมืองหลวงของอาณาจักรโคเรซัมเหนือ เป็นเมืองในเส้นทางการค้าโบราณของกองคาราวาน ระหว่างเมืองซามาร์คานด์ แห่งอุซเบกิสถาน กับทะเลแคสเปียน และรัสเซีย ได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ในปีค.ศ. 2005 เนื่องจากมีร่องรอยโบราณสถานที่สมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นคาราวานซาราย ป้อมปราการ สุสานที่มียอดสูงถึง 60 เมตร อนุสรณ์ต่าง ๆ ที่สะท้อนความรุ่งเรืองทางสถาปัตยกรรม ที่ส่งผลต่อศิลปะของอิหร่านและอัฟกานิสถานในเวลาต่อมา ก่อนที่อิทธิพลทางสถาปัตยกรรมจากอาณาจักรโมกุล แห่งอินเดียจะแผ่เข้ามาในราวศตวรรษที่ 16

เราได้รับรู้เรื่องราวของอาณาจักรโบราณและเมืองสำคัญบนเส้นทางสายไหมแห่งเอเชียกลาง เติร์กเมนิสถาน ที่ทรงคุณค่าแก่การสำรวจ

สนใจเดินทางสู่อุซเบกิสถานและเติร์กเมนิสถาน
โทร. 09 8885 8842 / 09 8865 2094

 

Close