มนต์เสน่ห์มายา สุดขอบฟ้าเม็กซิโกและอเมริกากลาง (PART 1)

December 18, 2019
Uncategorized

หนึ่งในจุดหมายปลายที่เปี่ยมล้นด้วยอารยธรรมมายาชวนหลงใหล มีโบราณสถานแสดงร่องรอยความรุ่งเรืองในอดีตนับพันปี และอุดมด้วยธรรมชาติอันงดงามเหนือจินตนาการ เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับการออกเดินทางเปิดโลกทัศน์พร้อมสัมผัสกลิ่นอายมายาและชนเผ่าโบราณ ณ ดินแดนเม็กซิโก และประเทศอื่น ๆ ในทวีปอเมริกาใต้ไปพร้อมกับเที่ยวรอบโลกและ Planet Blue

เม็กซิโก (Mexico) ประเทศที่ตั้งอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือติดกับประเทศสหรัฐอเมริกา เบลีซ และกัวเตมาลามีพื้นที่กว่า 1,972,550 ตารางกิโลเมตรซึ่งใหญ่กว่าประเทศไทยเกือบ 4 เท่า มีอากาศเย็นตลอดทั้งปี ใช้ภาษาสเปนเป็นภาษาราชการ นับว่าเป็นประเทศที่มีมนต์เสน่ห์ไม่มีใครเหมือน เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ อารยธรรมโบราณ และสถาปัตยกรรมของชาวแอสเท็กและมายามากมาย

Teotihuacan

มหานครเตโอติอัวกัน แปลเป็นภาษาแอสเท็กว่า “นครแห่งปวงเทพ” หรือ “City of the Gods” ที่นี่เป็นแหล่งอารยธรรมโบราณอันซับซ้อนและน่าสนใจติดอันดับโลก ซึ่งชาวแอสเท็กค้นพบเมืองนี้หลังล่มสลายไปหลายศตวรรษ และเชื่อว่าเป็นจุดกำเนิดของโลกและดวงอาทิตย์ดวงที่ 5 ไม่ปรากฏข้อมูลแน่ชัดว่าใครเป็นผู้สร้างและล่มสลายลงเมื่อใด โดยองค์กรยูเนสโกจดทะเบียนที่นี่ขึ้นเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมตั้งแต่ปีค.ศ.1987

ถนนมรณะ (Calzada de los Muertos) คือเอกลักษณ์ของมหานครเตโอติอัวกัน มีความกว้างถึง 92 เมตร เป็นที่ตั้งของมหาพีระมิดทั้ง 3 ได้แก่ พีระมิดสุริยัน (Piramide del Sol) คาดว่าสร้างในปีค.ศ. 100 ด้านบนมีวิหารสำหรับบูชาเทพเจ้า เป็นพีระมิดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากพีระมิดแห่งเมืองโชลูลาและพีระมิดแห่งกีซา พีระมิดจันทรา (Piramide del la Luna) ซึ่งมีขนาดรองจากพีระมิดสุริยัน ต้นกำเนิดยังคงเป็นปริศนา โดยปีค.ศ. 2004 นักโบราณคดีได้ค้นพบหลักฐานของการบูชายัญ คือโครงกระดูกมนุษย์และสัตว์จำนวนมาก และพีระมิดงูใหญ่ประดับขนนก (Feathered Serpent Pyramid) ตกแต่งลวดลายเป็นหัวสัตว์ต่าง ๆ และมีการค้นพบหลักฐานการบูชายัญมนุษย์ พร้อมอาวุธและหัวหอก

และมหานครแห่งนี้ยังมีพระราชวังจากัวร์ (The Palace of the Jaguars) ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาชมภาพเขียนเทพเจ้าจากัวร์ทรงเครื่องประดับขนนก และวิหารหอยสังข์ (Temple of Plumed Conch Shell) ชมภาพเขียนหอยสังข์ประดับขนนก และภาพเขียนนกอินทรีย์พ่นน้ำบนเมล็ดฟักทอง โดยชาวเตโอติอัวกันเปรียบกับฟ้าที่ประทานน้ำมา

Tula

เมืองตูล่าเคยเป็นอดีตเมืองหลวงชื่อ ทอลลัน (Tollan) ของจักรวรรดิโทลเท็ก (Toltec Empire) ที่เคยรุ่งเรืองราวค.ศ. 900 -110 ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐอีดัลโก บนหุบเขาตูล่า (Tula Valley) ที่มีความสูงถึง 2000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ศูนย์กลางของที่นี่ คือวิหารแห่งทลาฮูซคาลปันเตคัห์ทลิ (Temple of Tlahuizcalpantecuhtli)  หรือวิหารแห่งรุ่งอรุณ (The Lord of the Dawn) หรือรู้จักกันในชื่อพีระมิดแห่งเควท์ซาลโคท์ล (Pyramid of Quetzalcoatl) เป็นพีระมิดบันได 5 ชั้น ชั้นบนสุดเป็นลานประดับด้วยเสารูปนักรบโทลเท็ก สร้างจากหินอัคนีสูง 4 เมตรซึ่งอาจเป็นตัวแทนของมหาเทพเควท์ซาลโคท์ล เป็นเทพเจ้าแห่งสายลมและฟ้าฝน ขณะที่ฐานของพีระมิดฝั่งตรงข้ามบันไดเต็มไปด้วยภาพแกะสลักสวยงามรูปเสือจากัวร์ นกอินทรีย์ และหัวกะโหลก และเดินไปไม่ไกลจะมีพีระมิดสุริยเทพ (Pyramid of the Sun) ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าตั้งตระหง่านอยู่

นักท่องเที่ยวยังสามารถเรียนรู้อารยธรรมโทลเท็กที่พิพิธภัณฑ์จอร์จ อาร์ อโคสต้า (Jorge R. Acosta Museum) ซึ่งภายในจัดแสดงหินแกะสลักและซากโครงกระดูกมนุษย์ และยังมีศูนย์ปฐมนิเทศกัวดาลูเป้ มาสตาเช่  (Guadalupe Mastache Orientation center) สำหรับศึกษาความสำคัญของพื้นที่นี้และความสัมพันธ์ระหว่างอารยธรรมโทลเท็กกับอารยธรรมอื่น

นอกจากนี้ยังมีจุดน่าสนใจ อาทิ พระราชวังเกมาโด้ (Quemado Palace) หรือพระราชวังที่ถูกเผา (Burnt Palace) กำแพงอสรพิษโคตรเตปันลิ (Coatepantli) ภาพแกะสลักนู่นต่ำรูปเทพอสรพิษกำลังกินมนุษย์ซึ่งหมายถึงการเสียสละของมนุษย์เพื่อเทพเจ้า คาดว่าต่อมาจะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้แก่สิ่งปลูกสร้างในมหานครเตนอชตีตลัน และอื่น ๆ อีกมากมาย

Pachuca

ปาชูกาตั้งอยู่ในรัฐอิดัลโก โดยมีประชากรอาศัยอยู่ราว 300,000 คนและถือเป็นเมืองหลวงของรัฐ ที่นี่นับว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก เพราะมีความสูงถึง 2400 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล แต่ก็ยังเคยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเหมืองแร่เงินระหว่างศตวรรษที่ 18 และ 19  ทั้งยังเป็นสถานที่แข่งฟุตบอลครั้งแรกในทวีปอเมริกา เมืองนี้ห้อมล้อมไปด้วยภูเขา มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และมีสีสันสวยงามของอาคารบ้านเรือนต่าง ๆ บริเวณย่านพาลมิดาส (Las Palmitas) ซึ่งเป็นย่านชุมชนแออัดบริเวณเชิงเขา โดยได้รับการปรับปรุงจากโครงการ Pachuca Painting จนสร้างภาพลักษณ์อันดีของตัวเองขึ้นมา

ปาชูกามีสถานที่น่าสนใจหลายแห่ง อาทิ จัตุรัสอิสรภาพ (Plaza Independencia) ศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของเมือง อันเป็นที่ตั้งของสัญลักษณ์ของเมืองอย่างหอนาฬิกาอนุสรณ์สถาน (Monumental Clock) มีความสูงถึง 40 เมตร สร้างระหว่างปีค.ศ. 1904 ถึง 1910 เพื่อเฉลิมฉลองอิสรภาพครบรอบ 100 ปี และมีเสียงเหมือนนาฬิกา Big Ben  เพราะผลิตจากโรงงานเดียวกัน จุดเด่น คือรูปประติมากรรมหญิงสาว 4 นางที่สร้างจากหินอ่อนคาร์ราร่า

ลานวัฒนธรรมเบน กูเรี่ยน (Ben Gurion Cultural Plaza) เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า David Ben Gurion Park ตั้งอยู่ในย่าน Silver Zone ใจกลางสวนสาธารณะ ลานนี้สร้างจากแผ่นกระเบื้องโมเสคกว่า 2,000 ชิ้นจนเกิดเป็นภาพสีสันสดใสในหัวข้อ Homage to Women ซึ่งครอบคลุมพื้นที่กว่า 3,200 ตารางเมตร และบริเวณรอบ ๆ ยังมีสถานที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นห้องสมุด โรงละคร และหอเกียรติยศฟุตบอล

Mexico City

เมืองหลวงของประเทศเม็กซิโก เป็นอดีตเมืองเก่าแก่ที่สุดในซีกโลกตะวันตกชื่อ เตนอชตีตลัน (Tenochtitlan) เมืองหลวงของจักรวรรดิแอซเท็กบนเกาะกลางทะเลสาบเตซโกโก เมืองนี้เจริญรุ่งเรืองมากในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 กระทั่งเออร์นาน คอร์เตส (Hernan Cortes) นักสำรวจชาวสเปนค้นพบและเข้ายึดครองดินแดนแห่งนี้

เม็กซิโก ซิตี้และบริเวณมหานครโบราณมีพื้นที่ถึง 4900 ตารางกิโลเมตร รวมย่านเมืองเก่าอย่าง The Centro Historico ซึ่งมีจุดท่องเที่ยวหลัก คือจัตุรัสโซคาโล่ (Zocalo หรือ Plaza Mayor) หนึ่งในจัตุรัสกลางเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก่อนยุคล่าอาณานิคมเคยเป็นศูนย์กลางการประกอบพิธีกรรมของชาวแอซเท็ก ที่นี่รายล้อมไปด้วยสถานที่สำคัญ อาทิ เทมโปล มายอร์ (Templo Mayor) เป็นมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ของชาวแอซเท็ก ถูกสร้างขึ้นเพื่อบูชา Huitzilopochtli เทพแห่งสงคราม และ Tlaloc เทพแห่งฝนและการเกษตร ก่อนที่จะถูกกองทัพของเออร์นานทำลายในปีค.ศ. 1521  ปัจจุบันได้รับการบูรณะและองค์กรยูเนสโกจดทะเบียนขึ้นเป็นมรดกโลกตั้งแต่ปีค.ศ.1987

มหาวิหารเมโทรโปลิตัน (Metropolitan Cathedral) ศูนย์รวมจิตใจของชาวเมือง นับว่าเป็นวิหารที่ใหญ่ที่สุดในละตินอเมริกา โดยใช้เวลาสร้างเกือบ 3 ศตวรรษตั้งแต่ปีค.ศ.1573 ถึง 1813 ตั้งอยู่ทางเหนือของจัตุรัส ไฮไลท์ คือ การตกแต่งหลากหลายสไตล์ตั้งแต่บาโรก  คลาสสิก และนีโอคลาสสิก ที่นี่มีสิ่งน่าสนใจหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นแท่นบูชาหลัก 5 แท่น ห้องสวดมนต์ย่อยจำนวน 16 ห้อง ออร์แกนเก่าแก่ และหอระฆังอันสวยงาม

โบสถ์ซากราริโอ เมโทรโปลิตาโน (Sagrario Metropolitano)  สร้างโดยสถาปนิกชื่อ Lorenzo Rodriguez เป็นสถาปัตยกรรมบาโรกที่มีความงดงามมาก ข้างหน้าโบสถ์ประดับประดาด้วยแท่นบูชาต่าง ๆ

พระราชวังแห่งชาติ (Palacio Nacional หรือ National Palace) หรือทำเนียบรัฐบาล อดีตที่พำนักของอุปราชสเปนกระทั่งเม็กซิโกได้รับเอกราช  เชื่อกันว่าสร้างทับพระราชวังเดิมของกษัตริย์แอซเท็ก ที่นี่มีภาพเขียนบอกเล่าประวัติศาสตร์อันยาวนานของประเทศซึ่งสร้างสรรค์โดยจิตรกรเอกของโลกอย่างดิเอโก ริเวียร่า (Diego Rivera) และมีน้ำพุกลางลานเป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยว

พิพิธภัณฑ์มานุษยวิทยาแห่งชาติ (National Museum of Anthropology) ตั้งห่างจากใจกลางเมืองเม็กซิโก ซิตี้ไม่ไกล ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ซึ่งจัดแสดงโบราณวัตถุจากอารยธรรมต่าง ๆ มากมายหลายพันชิ้น อาทิ หน้ากากเผ่ามายัน งานฝีมือ ถ้วยชามต่าง ๆ งานศิลปะ มีไฮไลต์ คือ ปฏิทินโบราณชาวแอซเท็ก (Aztec sun stone) มีน้ำหนักราว 21000 กิโลกรัม คาดว่าสร้างขึ้นราวปีค.ศ. 1502 และยังมีพื้นที่จัดแสดงความเป็นมาของชาวพื้นเมืองเม็กซิโก และจุดเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์ผู้สร้างอารยธรรมเมโสอเมริกา

ชิมิลโก (Xochimilco) ตั้งอยู่ทางใต้ของเม็กซิโก ซิตี้ เคยเป็นที่ตั้งของมหานครเทน็อคชทิทลัน (Tenochtitlan) อดีตนครหลวงของอาณาจักรแอซเท็ก และยังเป็นหนึ่งในแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของชาวเม็กซิกัน ไฮไลต์ของที่นี่ คือ สวนสวยกลางน้ำชื่อดังระดับโลกซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสวิถีชีวิตชาวแอซเท็กโบราณได้ ทั้งปลูกผักและทำสวนดอกไม้ แต่กิจกรรมหลักที่ไม่ควรพลาดคือ การล่องเรือกอนโดล่าสไตล์เม็กซิกันสีสันฉูดฉาดสะดุดตาที่เรียกว่า ทราจิเนรัส (Trajineras) ลัดเลาะตามคูคลองเล็ก ๆ ชมทิวทัศน์ที่สวยงาม

Villahermosa

เมืองวิลล่าเฮอร์โมซ่า เมืองหลวงของรัฐทาบาสโกแห่งนี้มีความหมายว่า “หมู่บ้านอันสวยงาม” เพราะตั้งอยู่ริมแม่น้ำยิฮัลว่า (Grijalava River) จัดตั้งโดยซาน อวน เบาติสต้าในปีค.ศ. 1826 เมืองนี้มีมีพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจ คือ พิพิธภัณฑ์โบราณคดีกลางแจ้ง ลาเว้นต้า (Parque-Museo de La Venta) มีเนื้อที่ครอบคลุมกว่า 68,000 ตารางเมตร เป็นอดีตศูนย์กลางการประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ จึงเต็มไปด้วยพีระมิด ลานพิธีกรรม แท่นบูชา รวมถึงศีรษะศิลายักษ์ของชาวโอลเม็ก (Giant Olmec Head) ที่สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นตั้งแต่ 700 ปีก่อนคริสตกาล นอกจากนี้ยังมีสวนสัตว์ และสวนประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยศิลปวัฒนธรรมเก่าแก่ของชาวโอลเม็กซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นมารดาแห่งอารยธรรมเมโสอเมริกาโบราณ

พิพิธภัณฑ์มานุษยวิทยาท้องถิ่น (Museo Regional de Antropologia Carlos Pellicer Camara) หนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่สำคัญที่สุดของประเทศเม็กซิโกซึ่งเก็บรักษาโบราณวัตถุล้ำล่าของชาวโอลเม็ก มายา แอซเท็ก รวมถึงชนเผ่าอื่น ๆ ไว้มากมาย อาทิ เครื่องปั้นดินเผา รูปปั้นดิน และหยกแกะสลัก และยังจัดแสดงเรื่องราวของชนพื้นเมืองเมโสอเมริกาโบราณ โดยที่นี่เปิดให้บริการตั้งแต่ค.ศ. 1980

Palenque

เมืองปาเลงเกนี้คือจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยว เป็นอดีตเมืองอันเจริญรุ่งเรืองของชนเผ่ามายาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 7 ซึ่งมีธรรมชาติและโบราณสถานที่งดงาม โดยมีแหล่งโบราณคดีแห่งปาเลงเก (Palenque Archaeological Site) เป็นจุดไฮไลต์สำหรับศึกษาประวัติศาสตร์ของชนเผ่ามายาซึ่งตั้งห่างจากตัวเมืองเพียง 7 กิโลเมตรเท่านั้น ที่นี่มีวิหารแห่งจารึก (Temple of the Inscriptions) อันเป็นหนึ่งในอนุสรณ์สถานของชาวมายาที่มีชื่อเสียงที่สุด และยังเป็นวิหารที่สูงที่สุดในปาเลงเกอีกด้วย สร้างโดยกษัตริย์ปากัลป์ รวมถึงโอรสที่เป็นผู้ตกแต่งวิหารในขั้นตอนสุดท้าย มีหลุมศพกษัตริย์ปากัลป์ และเป็นจุดพบแท่นศิลาจารึกอักษรภาพไฮโรกรีฟิก

เดอะ คลอส กรุ๊ป (The Cross Group) เป็นกลุ่มของมหาวิหารทั้ง 3 ได้แก่วิหารแห่งสุริยเทพ (Temple of the Sun) วิหารแห่งกากบาท (Temple of the Cross) และวิหารแห่งกากบาทย่อย (Temple of the Foliated Cross) สร้างหลังกษัตริย์ปากัลสวรรคตในปีค.ศ.648 – 702 โดยพระโอรส หรือกษัตริย์บาห์ลุม ทั้ง 3 แห่งมีห้องขนาดใกล้เคียงกันซึ่งได้รับการแกะสลักอย่างประณีต โดยที่นี่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่ของชาวมายา

พระราชวังปาเลงเก (The Palace) พระราชวังที่ประกอบด้วยอาคารอันซับซ้อน มีระเบียงเชื่อมต่อที่สวยงามซึ่งสามารถพบงานแกะสลักได้โดยรอบ ความพิเศษของที่นี่ คือมีหอสังเกตการณ์เพื่อดูพระอาทิตย์ตก และยังมีท่อระบายน้ำขนาดใหญ่ (Aqueduct) ที่มีความสูงสามเมตร แสดงถึงความเจริญก้าวหน้าเกี่ยวกับระบบการจัดการน้ำของชาวมายา นักโบราณคดีบางส่วนเชื่อว่าท่อน้ำนี้เป็นระบบแรงดันน้ำที่ถูกคิดค้นขึ้นในโลกยุคใหม่ ท่อระบายน้ำนี้ทำให้น้ำจากแม่น้ำโอตูลุมสามารถไหลผ่านพื้นที่ใต้ลานพระราชวังไปสู่สระน้ำเพื่อบริโภคต่อไปได้

Campeche

เมืองกัมเปเช เมืองมรดกโลกแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณอ่าวเม็กซิโก เคยเป็นหมู่บ้านชาวมายาในอดีต กระทั่งถูกยึดเป็นเมืองท่าสำคัญของสเปนราวปีค.ศ. 1540 ทำให้เป็นศูนย์รวมของการแลกเปลี่ยนค้าขายซึ่งถูกเหล่าโจรสลัดบุกโจมตีอยู่บ่อยครั้ง กระทั่งสร้างป้อมปราการขึ้นเพื่อป้องกันโจรสลัดและการล่าอาณานิคม ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ทั้งป้อมปราการซาน โฮเซ่ (Fuerte de San Jose) ที่ถูกใช้จัดแสดงประวัติศาสตร์ทางการทหารยุคอาณานิคม ป้อมปราการซาน มิเกล (Fuerte de San Miguel) ที่จัดแสดงสิ่งประดิษฐ์ของชาวมายัน ป้อมซาน คาร์ลอส (Baluarte de San Carlos) และป้อมโซลิแดด (Baluarte de la Soledad) 2 ใน 7 ป้อมปราการที่เปิดให้เยี่ยมชมได้

นอกจากนี้ยังมีวิหารซานโฮเซ (Ex-Templo de San Jose) วิหารสไตล์บาโรกนิกายเยซูอิตแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 เป็นหนึ่งในจุดที่สวยงามที่สุดของเมือง หน้าวิหารประดับด้วยแผ่นกระเบื้องสีฟ้าและสีเหลืองซึ่งเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทุกสารทิศ

ในเมืองยังมีคฤหาสน์ Casa del Teniente del สถาปัตยกรรมยุคอาณานิคมที่สร้างเพื่อเป็นที่พักของข้าหลวงใหญ่แห่งกษัตริย์สเปนตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 18 แต่ก็ยังคงมีสภาพดีและคงโครงสร้างไว้ได้เกือบทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นห้องครัว ห้องอาบน้ำ และห้องอื่น ๆ นับสิบห้อง

Uxmal

อุกซ์มัลเป็นเมืองที่เก่าแก่ไม่แพ้อารยธรรมโอลเม็ก และนับว่าเป็นหนึ่งในแหล่งโบราณคดีของชาวมายาที่สำคัญมาก คาดว่าถูกสร้างขึ้นมาประมาณ 800 ปีก่อนคริสตกาล มีสถาปัตยกรรมล้อมรอบด้วยลานกว้าง ตกแต่งด้วยลวดลายต่าง ๆ และรูปปั้นแซ็ค (Chac) เทพแห่งฝน นักท่องเที่ยวนิยมมาที่นี่ เพราะผู้คนไม่พลุกพล่าน มีจุดชมวิวหลายจุด และยังเป็นโบราณสถานริมเนินเขาที่ราบลุ่มยูคาทาน ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า ปู๊ก (Pucc) อันเป็นศิลปะมายาแขนงย่อยชนิดหนึ่ง  มีสถานที่สำคัญ คือ Pyramid of the Magician สิ่งปลูกสร้างที่สูงที่สุดของเมือง มีลักษณะโค้งมน ยอดพีระมิดมีห้องสำหรับประกอบพิธีกรรม มีรูปาลักเทพชะมุลห์ประดับกรอบประตูและตามบันไดทางขึ้น โดยองค์กรยูเนสโกขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกยุคก่อนประวัติศาสตร์

มหาพีระมิด (The Grand Pyramid) พีระมิดความสูง 19.8 เมตรเป็นจุดที่สามารถชมทิวทัศน์ของมหานครโบราณได้อย่างทั่วถึง

พระราชวังหลวง (Govenor’s Palace) อดีตที่พำนักของผู้ครองนครอุกซ์มัลที่ยังคงสภาพดีจวบจนปัจจุบัน เชื่อกันว่าสร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 10 มีชื่อเสียงจากลวดลายประดับภายนอกอาคารที่เป็นศิลปะแบบปู๊กที่สวยงาม มีโมเสกที่สื่อถึงเทพแซ็คและสัญลักษณ์ทางความเชื่อต่าง ๆ สร้างโดยก้อนหินกว่า 20,000 ก้อน และยังเป็นจุดชมวิวที่ทำให้เห็น Pyramid of the Magician และอาคารโดยรอบอย่างชัดเจน

อารามนางชี นันเนอรี่ ควอแดรงเกิล (Nunnery Quadrangle) อาคารที่มีลวดลายงดงามที่สุดในที่แห่งนี้ คาดว่าเป็นศูนย์รวมของผู้คนในอดีต บริเวณโดยรอบเป็นลานหญ้าสี่เหลี่ยมล้อมรอบด้วยอาคาร 4 หลัง ใช้สำหรับฝึกฝนวิชาของบรรดานักบวช หมอผี และทหาร  และยังใช้เป็นพื้นที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของชาวมายา

บ้านเต่า (The House of Turtles) มีชื่อเรียกจากรูปปั้นเต่าบริเวณผนัง มีความยาวระหว่างทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก 30 เมตร ทิศเหนือไปทิศใต้ 11 เมตร และมีความสูงราว 7 เมตร เป็นสถานที่ที่มีการตกแต่งอย่างเรียบง่าย คาดว่าสร้างในยุคที่ศิลปะแบบปู๊กรุ่งเรือง

Chichen Itza

ชิเชน อิทซา แหล่งโบราณคดีที่สมบูรณ์ที่สุดซึ่งแสดงให้เห็นอดีตของอารยธรรมมายาเมื่อครั้งเรืองรอง อนุสรณ์สถานของเทพเจ้าผู้กระหายเลือดแห่งนี้มีฐานะเป็นที่ประดิษฐานของปฏิทินมายาซึ่งทำนายวันสิ้นโลกในปี 2012 อันโด่งดัง นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ที่งดงามอันสะท้อนให้เห็นถึงความรู้ด้านสถาปัตยกรรม และดาราศาสตร์ แม้กระทั่งบอกเล่าเรื่องราวการบูชายัญอันโหดร้าย  จนองค์กรยูเนสโกประกาศให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ในวันที่ 7 เดือน 7 ปี 2007

วิหารนักรบเทมโปล เด ลอสเกร์เรรอส (Templo de los Guerreros) หรือ Temple of the Warriors เป็นสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ทรงพีระมิดยอดตัดถูกสร้างราวปีค.ศ. 1200 มีเสาแกะสลักนูนต่ำคล้ายรูปนักรบซึ่งมีหลายรูปที่สภาพดี และมีเสานับร้อยต้นตั้งอยู่รอบวิหาร คาดว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากสถาปัตยกรรมของชาวโทลเท็ก  เพราะมีความคล้ายคลึงกับสิ่งปลูกสร้างของเมืองตูลา

พีระมิดแห่งเทพเจ้าคูคุลคาน (The Castle Pyramid of Kukulcan) หรือ El Castillo ว่ากันว่าเป็นพีระมิดของเทพเจ้าคูคุลคาน เทพเจ้าสูงสุดผู้ให้กำเนิดมนุษย์ทั้งมวลซึ่งสูงที่สุดในชิเชน อิทซาแห่งนี้ มีความสูงประมาณ 30 เมตร และมีพื้นที่ 55.3 ตารางเมตร สิ่งน่าสนใจของที่นี่ คือมีบันไดทั้งหมด 364 ขั้นและหากรวมยอดไปด้วยก็จะมีทั้งหมด 365 ขั้นเท่าจำนวนวันในหนึ่งปี

ชุมนุมพันเสา (Group of a Thousand Columns) คือส่วนที่แสดงให้เห็นถึงความพิเศษเชิงสถาปัตยกรรมด้านการจัดวางองค์ประกอบของพื้นที่ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากวิหารนักรบเทมโปล เด ลอสเกร์เรรอส มีเนื้อที่ยาวประมาณ 150 เมตร บางคนเชื่อกันว่าเป็นสัญลักษณ์สื่อถึงความหลากหลายของจิตใจมนุษย์ ไม่ก็หมายถึงนักรบผู้ร่วมต่อสู้กับปีศาจร้าย

วิหารเสือจากัวร์ (Temple of the Jaguars) ได้รับชื่อนี้จากรูปสลักขบวนเสือจากัวร์บริเวณอาคารด้านหน้าวิหาร เป็นสถาปัตยกรรมแบบมายา-โทลเท็กที่สร้างขึ้นราวปีค.ศ. 900-1,000 ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังบอกเล่าเรื่องราวการรบระหว่างชาวมายากับชาวโทลเท็ก

และสถานที่สำคัญอีกแห่ง คือสนามบอล (Ball Court Complex) หรือเฆโก เด เปโลตา (Jueggo de Pelota) เป็น 1 ใน 7 แห่งที่ใช้สำหรับการละเล่นที่ใหญ่โตที่สุดซึ่งคาดว่าเป็นส่วนหนึ่งของการประกอบพิธีบูชายัญ เพราะมีภาพเขียนเล่าเรื่องราวอันโหดร้ายของการบั่นศีรษะ และการเล่นบอลทั้งในโลกมนุษย์และปรโลกตลอดแนวผนังของสนามบอล โดยการบูชายัญนั้นเชื่อว่าหัวหน้าทีมของผู้แพ้หรือผู้ชนะจะถูกบูชายัญ หรือบางครั้งอาจเป็นนักกีฬาทั้งกลุ่ม

Tulum

เมืองตูลุม อดีตเมืองท่าแห่งนี้ หมายความว่า “กำแพง” ในภาษามายัน เพราะว่าทั้งเมืองถูกล้อมรอบด้วยกำแพงที่สร้างเพื่อป้องกันการรุกราน และยังได้รับการขนานนามว่า Zama ซึ่งแปลว่านครแห่งรุ่งอรุณ มีที่มาจากทำเลที่ตั้งของเมืองที่หันหน้าไปทางทิศตะวันออกของทะเลทะเลแคริบเบียน ตูลุมเจริญรุ่งเรืองขีดสุดราวคริสต์ศตวรรษที่ 13 ถึง 15 ก่อนถูกชาวสเปนรุกราน และทิ้งร้างในเวลาต่อมา เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนเม็กซิโก เพราะมีแนวชายฝั่งที่งดงามไม่ซ้ำใคร และอุดมไปด้วยมนต์เสน่ห์แห่งโบราณสถานมายา

หนึ่งในนั้น คือ เอล คาสติโล่ (El Castillo) ตั้งอยู่บริเวณหน้าผาที่สามารถชมทิวทัศน์ของแนวชายฝั่งทะเลแคริบเบียนได้ มีวัดอยู่ด้านบนใช้สำหรับสังเกตการณ์ และห่างไปไม่ไกลจะมีประภาคารซึ่งมีทางเดินลงไปชมหาดทรายอันสวยงามได้

วิหารการปรากฏองค์ของเทพเจ้า (Temple of the Descending God) เป็นวิหารขนาดเล็ก มีที่มาจากรูปแกะสลักเทพเจ้า Ah Muu Zen Caab ท่าทางเหมือนร่วงหล่นมาจากท้องฟ้า คือศีรษะมุ่งลงหาพื้นและขาชี้ฟ้า มีตำนานเกี่ยวกับเทพองค์นี้ว่าเป็นเทพเจ้าแห่งผึ้งทั้งปวงซึ่งประทานที่อยู่อาศัยให้แก่ผึ้ง และทำหน้าที่เก็บรวบรวมน้ำผึ้ง ชาวมายาบูชาเทพองค์นี้ เพราะจำเป็นต้องใช้น้ำผึ้งในการดื่มและปรุงอาหาร

วิหารแห่งเฟรสโก้ส์ (The Temple of the Frescoes) เป็นสถานที่ที่น่าสนใจและมีความสำคัญทางด้านสถาปัตยกรรม และศาสนาอย่างมาก ตั้งอยู่ใกล้ทางเข้าหลักของตูลุม ภายในประดับด้วยรูปแกะสลักนูนต่ำเอกลักษณ์ของชาวมายัน ในอดีตเคยใช้เป็นจุดสังเกตการณ์การเคลื่อนที่ของพระอาทิตย์

Aktun Chen

อักตุน เชน สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศเม็กซิโก เต็มไปด้วยกิจกรรมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเดินชมธรรมชาติ หรือโหนสลิงชมป่าจากมุมสูง แต่กิจกรรมที่พลาดไม่ได้เมื่อมาที่นี่ คือการเข้าชมถ้ำมรดกโลกทั้ง 3 ถ้ำซึ่งมีแม่น้ำใต้ดินไหลผ่าน ตลอดทางจะได้ชมธรรมชาติอย่างจุใจ ทั้งหินงอก หินย้อย และประติมากรรมธรรมชาติต่าง ๆ มากมาย รวมถึงการว่ายน้ำในแม่น้ำใต้ดิน (Underground Rivers) ที่มีปลาและปะการังสร้างความเพลิดเพลินให้แก่ผู้มาเยือน

Cozumel

เกาะคอซูเมล เกาะที่กล่าวขานว่าเป็นเกาะสวรรค์แห่งนี้ดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักดำน้ำได้ตลอดทั้งปี เพราะมีปะการังใต้น้ำสวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลกและน้ำทะเลที่ใสราวคริสตัล มีกิจกรรมหลากหลายให้เลือกสรรไม่ว่าจะอาบแดดริมหาดทรายขาว พายเรือ ว่ายน้ำ หรือดำน้ำสัมผัสความงามใต้ทะเลแคริบเบียนก็ย่อมได้ โดยกิจกรรมพิเศษ คือล่องเรือดำน้ำ Atlantis Submarine เพื่อชมแนวปะการังเขตร้อนใต้น้ำที่สวยและสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และซากเครื่องบินเก่าซึ่งเป็นฉากในการถ่ายทำภาพยนตร์

เรื่องราวการเดินทางในเส้นทางอเมริกากลาง มนต์เสน่ห์มายา สุดขอบฟ้าเม็กซิโกยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ติดตามต่อใน (Part 2)

สนใจเดินทางสู่เม็กซิโกและอเมริกากลาง

โทร. 098 885 8842 / 098 865 2094

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Close