อาร์เมเนีย จอร์เจีย อัญมณีแห่งคอเคซัส

จอร์เจีย ตั้งอยู่ในแนวเทือกเขาคอเคซัสที่เป็นเส้นแบ่งทางธรรมชาติแยกยุโรปตะวันออกและเอเชียตะวันตกออกจากกัน เป็นดินแดนที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,500 ปี โดยในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 7-18 ซึ่งเป็นเวลากว่า 1,100 ปี ที่จอร์เจียถูกปกครองโดยชนชาติต่างๆ ทั้งเปอร์เซีย เติร์ก อาหรับ มองโกล ก่อนกลายเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตในปี 1921 และแยกตัวออกเป็นรัฐอิสระในอีก 70 ปีต่อมา

เยือนจอร์เจีย ชมหมู่มรดกโลกแห่งเทือกเขาคอเคซัส

จอร์เจียมีอาณาเขตทางเหนือติดกับรัสเซีย และทางตะวันตกติดกับทะเลดำและตุรกี มีเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดชื่อ กรุงทบิลิซิ (Tbilisi) ตั้งอยู่ในหุบเขาซึ่งถูกแบ่งโดยแม่น้ำมิตควารี (Mtkvari) ด้านการท่องเที่ยว จอร์เจียต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีความน่าสนใจอยู่ที่แหล่งน้ำแร่และแหล่งโบราณคดีมากกว่า 12,000 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งในจำนวนนี้ มี 4 แห่งด้วยกันที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก

20 ที่เที่ยวแนะนำในจอร์เจีย

1. เมืองไซห์นากี (Sighnaghi)

เมืองป้อมปราการในศตวรรษที่ 17 ตั้งอยู่ในหุบเขาอลาซานี (Alazani Valley) สามารถชื่นชมกับภูมิทัศน์ตระการตาของเทือกเขาคอเคซัสได้อย่างใกล้ชิด รวมถึงสถาปัตยกรรมและสีสันของบ้านเรือนตามเนินเขา ทำให้เมืองไซห์นากีเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวกลุ่มคู่รัก และได้รับอีกสมญานามว่า นครแห่งความรัก (Love City)

มาถึงแล้วต้องชมกำแพงเมืองโบราณ (Sighnaghi City Wall) ที่เหลือเพียงแห่งเดียวในจอร์เจีย ยอดแหลมของโบสถ์เซนต์จิออร์กี (St. Giorgi Church) และตัวเมืองเก่า (Old Town of Sighnaghi) ที่มีจัตุรัสมากถึง 2 แห่ง นอกจากนั้นไซห์นากียังเป็นศูนย์กลางทาศิลปะของพวกช่างฝีมือแขนงต่างๆ เช่นเดียวกับชื่อเสียงด้านการทำไร่องุ่นซึ่งมีกำลังการผลิตไวน์ได้ถึง 70% ของประเทศ

2. อารามนักบุญนีโน่แห่งบอดบี (Monastery of St. Nino at Bodbe)

จุดหมายปลายทางของผู้แสวงบุญชาวจอร์เจียน เป็นอารามสงฆ์ในนิกายจอร์เจียนออร์โธดอกซ์ สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 9 แต่ได้รับการบูรณะใหม่ทั้งหมดในศตวรรษที่ 17 ปัจจุบันเป็นอารามนางชี อุทิศให้นักบุญนีโน่ สตรีผู้ประกาศศาสนาคริสต์ในศตวรรษที่ 4 โดยหลุมศพของนักบุญนีโนก็ได้รับการบรรจุไว้ในอารามแห่งนี้เช่นกัน

3. เส้นทางแห่งไวน์ แคว้นคาเคติ (Kakheti Wine Route)

ถนนสายเล็กๆ ที่ซอกซอนเข้าไปในหมู่บ้านแทบทุกสายของแคว้นคาเคติ (Kakheti) ที่รุ่มรวยด้วยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมดั้งเดิมของจอร์เจีย และยังเป็นแหล่งปลูกองุ่นและทำไวน์ที่ใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดในจอร์เจียด้วย โดยมีประวัติศาสตร์การทำไวน์ยาวนานตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงยุคคลาสสิคของกรีกและโรมันโบราณ ย้อนหลังไปได้ถึง 6,000 ปีก่อนคริสต์กาล ซึ่งกรรมวิธีการผลิตไวน์ในปัจจุบันแทบจะไม่แตกต่างจากยุคดั้งเดิม ที่องุ่นยังถูกเก็บด้วยมือ คั้นน้ำองุ่นด้วยการย่ำเท้า บรรจุและบ่มน้ำองุ่นให้กลายเป็นไวน์ในเหยือกดินเผาปลายแหลมที่เรียกว่า แอมโฟรา (Clay Amphora) ปักไว้บนดิน โดยปราศจากสารเร่งปฏิกริยา

4. อุโมงค์เก็บไวน์ของโรงไวน์คาเรบา (Wine Tunnel of Khareba Winery)

ตั้งอยู่ในเมืองคูวาเรลี (Kvareli) ที่แปลว่า ‘ไวน์’ ของแคว้นคาเคติ เป็นอุโมงค์สกัดเข้าไปในภูเขาขนาดมหึมา จำนวน 15 อุโมงค์ มีอุโมงค์ 2 แห่งลึก 800 เมตรวิ่งขนานกัน และเชื่อมอุโมงค์ที่เหลือทั้งหมดที่ลึก 500 เมตร เพื่อให้เป็นที่เก็บไวน์ในอุณหภูมิเหมาะสม โดยตลอดแนวอุโมงค์เป็นที่เก็บไวน์ของคาเรบาหลายพันขวด

สำหรับโรงไวน์คาเรบาเปิดดำเนินการเมื่อปี 2004 มีพื้นที่สวนองุ่นราว 6,000 ไร่ทั่วจอร์เจีย ปลูกองุ่น 16 สายพันธุ์ และผลิตไวน์ชนิดต่างๆ ถึง 13 ชนิด และสามารถผลิตไวน์ได้ถึง 3 ล้านขวดต่อปี มาถึงที่แล้วห้ามพลาดชิมไวน์คูวาเรลี (Kvureli Wines) ไวน์ท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงที่สุดในภูมิภาค

5. พระราชวังกษัตริย์จอร์เจีย อีเรเคิลที่ 2 (Palace of King of Georgia Erekle II)

ตั้งอยู่ที่เมืองเธลาวี (Telavi) เป็นพระราชวังและป้อมปราการในยุคกลางที่ได้รับการดูแลรักษาไว้ดีที่สุดของประเทศ สร้างโดยกษัตริย์อาร์ชิล (King Archil) ระหว่างปี 1667-1675 และทำหน้าที่เป็นบัลลังก์และศูนย์กลางการปกครองอาณาจักรคาเคติระหว่างศตวรรษที่ 17-18 และได้รับการขยายเพิ่มเติมโดยกษัตริย์อีเรเคิลที่ 2 จนได้รับสมญานามว่า ‘เมืองคาเคเทียนน้อย’ (The Little Kakhetian) ปัจจุบันปรับให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงให้เห็นถึงชีวิตความเป็นอยู่ของราชสำนักในสมัยกษัตริย์อีเรเคิลที่ 2 ทั้งห้องพระบรรทม พระราชฐานส่วนใน บัลลังก์ และศาสตราวุธ

6. ย่านเมืองเก่ากรุงทบิลิซี (Old Town)

มีอายุมากกว่า 1,500 ปี ชมโบสถ์เมเตคี (Metekhi Church) โบสถ์เก่าแก่ริมฝั่งแม่น้ำคูรา สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยคริสตศตวรรษที่ 12 และโรงอาบน้ำกำมะถัน (The Abanotubani Bath House) ที่ตามตำนานเล่าว่า ค้นพบขึ้นจากการที่นกเหยี่ยวของกษัตริย์ Vakhtang Gorgasali พลัดตกลงไป โดยลักษณะของโรงอาบน้ำ มีลักษณะคล้ายกับบ่อออนเซ็นของชาวญี่ปุ่นนั่นเอง

7. ป้อมปราการนาริกาลา (Narikala Fortress)

สร้างครั้งแรกตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 4 มีการเปลี่ยนมือผู้ปกครองหลายต่อหลายครั้ง ทั้งชาวอาหรับ มองโกล เปอร์เซีย เติร์ก และรัสเซีย ในส่วนของอาคารปัจจุบัน สร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 8 ร่วมสัมผัสความงามของ โบสถ์นักบุญนิโคลาส (St. Nicholas Church) ที่สร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12-13 หากมองลงมาจะได้สัมผัสความงามของแม่น้ำมิตควารีและความผสมผสานกลมกลืนกันระหว่างผู้คนหลากชนชาติหลายภาษาที่มาอยู่รวมกันในเมืองแห่งนี้

8. มหาวิหารซาเมบา (Sameba Cathedral)

สัญลักษณ์แห่งจอร์เจียยุคใหม่ ตั้งอยู่บนเนินเขาริมฝั่งแม่น้ำคูรา สร้างขึ้นในปี 2004 เนื่องในวาระการเฉลิมฉลองการครบรอบ 2,000 ปีของคริสต์ศาสนา และ 1,500 ปีสำหรับเอกราชของคริสต์จักรจอร์เจีย ด้วยสถาปัตยกรรมร่วมสมัย เป็นวิหารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในจอร์เจีย มีความสูงถึง 50 เมตร และจุผู้แสวงบุญได้ถึง 15,000 คน ยอดโดมทองคำให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่อลังการ และสามารถมองเห็นได้จากทุกแห่งในกรุงทบิลิซีฃ

9. มหาวิหารซิโอนิ (Sioni Cathedral)

มหาวิหารเก่าแก่ที่สุดของเมือง สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 11 ชื่นชมกับภาพจิตรกรรมและประติมากรรมที่เก่าแก่งดงามมากมาย เป็นสถานที่พำนักแห่งสุดท้ายของพระสังฆราชแห่งคริสตจักรของจอร์เจียหลายพระองค์

10. สำนักสงฆ์จวารี (Jvari Monastery)

สำนักสงฆ์เก่าแก่แห่ง เมืองมิสเคตา (Mtskheta) ศูนย์กลางทางศาสนาและเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศจอร์เจีย โดยช่วงศตวรรษที่ 4 ศาสนาคริสต์ได้เข้ามาเผยแผ่ในเมืองนี้ และองค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนโบราณสถานแห่งเมืองมิสเคตาเป็นมรดกโลกเมื่อปี 1994

สำหรับสำนักสงฆ์จวารี สร้างขึ้นเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 6 ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาสูง จากที่นี่สามารถมองเห็นทัศนียภาพและความงามของเมืองมิสเคตา และการบรรจบกันของแม่น้ำสองสายคือ แม่น้ำมิตควารี (Mtkvari) และแม่น้ำอะรักวี (Aragvi) ได้อย่างชัดเจน ต่อกันด้วย มหาวิหารสเวติสโคเวลี (Svetitskhoveli Cathedral) สร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 11 ศูนย์กลางทางศาสนาที่ศักดิ์สิทธิ์ของจอร์เจีย มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักของชาวคริสต์เป็นอย่างดี

11. ป้อมอนานูริ (Ananuri Fortress)

ป้อมปราการเก่าแก่ สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16-17 ชมความงดงามของโบสถ์สองหลังของคริสตจักรชาวเวอร์จิน จากมุมสูงของป้อมปราการนี้ มองเห็นทัศนียภาพอันงดงามของ อ่างเก็บน้ำซินวาลี (Zhinvali) แหล่งเก็บน้ำของชาวเมืองทบิลิซี และวิวภูเขาที่ล้อมรอบสถานที่แห่งนี้ไว้อย่างงดงาม

12. เมืองคาสเบกิ (Kazbegi)

เมืองเล็ก ๆ ตั้งอยู่ห่างจากกรุงทบิลิซีประมาณ 157 กิโลเมตร ซึ่งบนเส้นทาง Georgian Military Highway ขึ้นสู่เทือกเขาคอเคซัส คุณจะได้พบกับทัศนียภาพอันสวยงามของภูเขาสูงตระหง่านระหว่างทาง โดยเมืองคาสเบกิถือเป็นศูนย์กลางทางการท่องเที่ยวบนเทือกเขาคอเคซัสของจอร์เจีย เพราะอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง มีเส้นทางเดินเขาและสกีรีสอร์ทอยู่หลายแห่ง ภูมิทัศน์โดยรอบเมืองเต็มไปด้วยภาพความสวยงามที่ยิ่งใหญ่อลังการของภูเขา รวมทั้งเป็นจุดชมวิว ยอดเขาคาสเบ็ค (Mount Kazbek) หนึ่งในยอดเขาที่สวยที่สุดของเทือกเขาคอเคซัส เจ้าของความสูง 5,047 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล

13. ซากเมืองอุพลิสซิเค (Uplistsikhe Cave Town)

หนึ่งในเมืองถ้ำเก่าแก่ของจอร์เจียซึ่งมีการตั้งถิ่นฐานกันมากว่า 3,000 ปี โดยเป็นศูนย์กลางทางศาสนาและวัฒนธรรมของดินแดนแถบนี้ในช่วงคริสตวรรษที่ 9-11ก่อนจะถูกรุกรานโดยชาวมองโกลในช่วงคริสตวรรษที่ 13 และถูกปล่อยให้เป็นเมืองร้าง ร่วมชมศาสนสถานซึ่งเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ ที่ใช้ประกอบพิธีกรรมของลัทธิบูชาไฟ รวมถึงห้องต่างๆ ซึ่งคาดว่าเป็นโบสถ์เก่าแก่ของชาวคริสต์ ที่สร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 9 ด้วย

14. นครถ้ำวาร์ดเซีย (Vardzia Cave Town)

ตั้งอยู่ตอนใต้สุดของจอร์เจีย ห่างจากชายแดนตุรกีเพียง 13 กิโลเมตร ชมหมู่ถ้ำโบราณในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 11 แบ่งออกเป็นส่วนที่อยู่อาศัยและส่วนอารามสงฆ์ โดยถ้ำเหล่านี้ถูกขุดเจาะป็นโพรงทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำ เพื่อหลบหลีกการคุกคามของกองทัพมองโกล ลดหลั่นกันลงไปถึง 19 ขั้น โดยในยุครุ่งเรือง มีถ้ำกว่า 3,000 คูหา และมีคนอาศัยอยู่ถึง 50,000 คน! นอกจากนั้น นครถ้ำแห่งนี้เป็นที่ตั้งของ โบสถ์แม่พระแห่งพระบุตรเสด็จสู่สวรรคาลัย (The Church of Dormition) หนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลต์ของจอร์เจียด้วย

15. เมืองอาคาลห์ซี (Akhaltsikhe)

เคยเป็นศูนย์กลางของจักวรรดิออตโตมัน สร้างขึ้นในยุคกลาง ชื่อเมืองมีความหมายว่า ‘ป้อมปราการใหม่’ มีจุดที่น่าสนใจหลายจุด ทั้งสุเหร่าอัคเมดิเย (Akhmediye Mosque) โบสถ์ออร์โธดอกซ์ โรงละครกลางแจ้ง และป้อมปราการชั้นใน และมีปราสาทราบาติ (Rabati Castle) เป็นแลนด์มาร์กสำคัญ โดยตั้งอยู่ชั้นบนของเมือง เคยเป็นที่ประทับของราชวงค์จาเคลิ (Jakeli Dynasty) ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ประจำภูมิภาคแซมซเค-จาวาเคติ (Samtskhe-Javakheti)

16. อารามจีลาติ (Gelati Monastery) และมหาวิหารบากราติ (Bagradi Cathedral)

ชมสองมรดกโลกด้านวัฒนธรรมของจอร์เจียซึ่งตั้งอยู่ในเมืองคูไตซี (Kutaisi) ทั้ง อารามจีลาติ (Gelati Monastery) สถานที่เก็บรวบรวมภาพจิตรกรรมฝาผนัง บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับนักบุญและกษัตริย์ในยุคต่างๆ ของจอร์เจียไว้ภายในใจกลางวิหารเวอร์จิน และ มหาวิหารบากราติ (Bagradi Cathedral) ที่ตั้งชื่อตามพระเจ้าบากราตที่ 3 กษัตริย์ผู้ทรงรวมจอร์เจีย สร้างขึ้นในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 10 ที่ถึงแม้จะถูกทำลายไปบางส่วนโดยพวกเติร์ก แต่ซากปรักหักพังของโบสถ์ก็ยังปรากฏอยู่ที่ใจกลางเมือง

17. พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมพระราชวังดาเดียนี (Dadiani Palace History and Architectural Museum)

หนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่เก่าแก่ที่สุดในภูมิภาคคอเคซัส จัดแสดงวัตถุกว่า 41,000 ชิ้น โดยสิ่งของที่น่าสนใจในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ได้แก่ หน้ากากที่สวมหน้าของนโปเลียนตอนเสียชีวิตในปี 1833 รวมถึงหนังสือต่าง ๆ จดหมายส่วนตัว เครื่องเงิน และกระเบื้องเคลือบของจักรพรรดินโปเลียน

18. แคว้นสวาเนติบน (Upper Svaneti)

ได้ชื่อว่าเป็นประตูสู่คอเคซัส มีความเป็นเอกลักษณ์ต่างจากที่ไหนๆ ในจอร์เจีย เพราะมีบ้านเรือนเก่าแก่ที่ยังได้รับการรักษาไว้จนถึงปัจจุบัน มี เมืองเมสเทีย (Mestia) เป็นเมืองเอก ซึ่งในขณะนี้เริ่มมีโรงแรมที่พักและเกสต์เฮ้าส์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเป็นเมืองยอดฮิตของชาวยุโรปที่ต้องการมาเล่นสกีในฤดูหนาว เพราะหิมะที่นี่จะหนาและมีภูมิทัศน์เหมาะกับการเล่นสกีเป็นอย่างมาก นอกจากนั้นแล้ว ในช่วงฤดูร้อน ดอกไม้ที่นี่ยังบานสะพรั่งไปทั่วทั้งท้องทุ่งและภูเขา กลายเป็นอีกหนึ่งจุดหมายในฝันของเหล่านักเทรคกิ้งกันไปเลย

นอกจากนั้นก็ยังเป็นที่ตั้งของ เมืองอุชกูลิ (Ushguli) ซึ่งตั้งอยู่กลางหุบเขาสูง 2,410 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล นับเป็นหนึ่งในชุมชนที่ตั้งอยู่สูงที่สุดของยุโรป ล้อมรอบด้วยยอดเขาที่มีชื่อเสียงหลายยอด อาทิ ยอดเขาอูชบา (Ushba) สูง 4,710 เมตร เททนูลดีสูง 4,975 เมตร และชารายอดเขาที่สูงที่สุดของจอร์เจีย 5,193 เมตร

มี หมู่บ้านชาซาห์ชี (Chazhashi) เป็นหมู่บ้านที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นที่สุด ด้วยลักษณะของอาคารบ้านเรือนที่มีหอคอยสูง 4-5 ชั้น (20-30 เมตร) เพื่อใช้เป็นหอสังเกตุการณ์ป้องกันภัยให้กับตัวเอง โดยผู้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ส่วนใหญ่เป็นครอบครัวใหญ่ มีชาวสวาเนติพื้นถิ่นอาศัยอยู่ราว 200 ครัวเรือน ท่ามกลางหิมะที่ปกคลุมราว 6 เดือน ทำให้อุชห์กูลิกลายเมืองปิดไม่สามารถติดต่อโลกภายนอกได้กว่า 6 เดือน และด้วยความงดงามของหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขา รายล้อมไปด้วยขุนเขานานาและเป็นชุมชนโบราณ ทำให้ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกเมื่อปี 1996 ด้วย

19. เมืองบาตูมี (Batumi)

เมืองหลวงของอัดจารา (Ajara) สาธารณรัฐอิสระที่ปกครองตนเองอยู่ทางด้านตะวันตกของประเทศจอร์เจีย มีความงามของธรรมชาติที่น่าตื่นตาตื่นใจ โดยพื้นที่ด้านหนึ่งล้อมด้วยทิวทัศน์ของทะเลดำ มาถึงแล้ว ควรเดินชม ถนนเลียบชายหาด (Batumi Promenade) ที่ยาวถึง 6 กิโลเมตร สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1884 ประดับด้วยน้ำพุงดงามตลอดสาย และเป็นถนนที่ยาวที่สุดบนฝั่งทะเลดำ

ชมแลนด์มาร์กสำคัญ ๆ ตลอดถนน ทั้ง อนุสาวรีย์อาลีและนีโน่ (Ali and Nino Monument) งานสถาปัตยกรรมโลหะสมัยใหม่รูปคู่รักชายชาวอาเซอร์ไบจานและหญิงสาวชาวจอร์เจียนในนวนิยายท้องถิ่น หอคอยชิงช้าสวรรค์ (Ferris Wheels Tower) อาคารตัวอักษร (Alphabet Tower) ที่ประดับด้วยตัวอักษรโลหะอันมีเอกลักษณ์ รวมถึง หอคอยแห่งบาตูมี (Batumi Tower) ที่สูงถึง 200 เมตร สามารถหยุดเก็บภาพได้ตลอดเส้นทาง

20. อารามบนเสาหินคัตส์คี (Katskhi Pillar Monastery) และอารามถ้ำแมควิเมวี่ (Mgvimevi Cave Monastery)

อารามบนเสาหินคัตส์คี มีลักษณะเป็นแท่งหินปูนสูง 40 เมตร ซึ่งมีส่วนยอดเป็นที่ตั้งของโบสถ์เล็กๆ ที่แยกตัวออกจากโลก และมีนักบวชอาศัยอยู่เพียงรูปเดียว ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าโบสถ์ที่อยู่บนนั้นสร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อไร แต่จากผลการศึกษาของทีมนักวิจัยในช่วงปี 1999-2009 พบว่าโบสถ์ดังกล่าวน่าจะสร้างเสร็จในช่วงศตวรรษที่ 9-10 และถูกใช้งานทางศาสนาเรื่อยมากระทั่งถูกทิ้งร้างไปหลังศตวรรษที่ 13

อารามบนเสาหินคัตส์คีถูกพูดถึงอีกครั้ง หลังเจ้าชายแห่งจอร์เจียตรัสถึงในช่วงศตวรรษที่ 18 และถูกปีนขึ้นไปสำรวจเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1944 แต่อย่างไรก็ตาม กว่าอารามบนเสาหินคัตส์คีจะกลับมาทำกิจกรรมทางศาสนาอีกครั้งก็ต้องล่วงเลยมาถึงปี 1995 ที่นักบวชชื่อ Maxim Qavtaradze ได้เดินทางมาอาศัยอยู่ที่นี่ หลังจากวันนั้น โบสถ์แห่งนี้ก็เริ่มได้รับการบูรณะและสร้างใหม่ ด้วยความช่วยเหลือจากหน่วยงานอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมแห่งชาติจอร์เจีย

ส่วน อารามถ้ำแมควิเมวี่ เป็นอารามถ้ำในศตวรรษที่ 8 ที่สร้างเจาะเข้าไปในหน้าผา จากระเบียงทางเดินริมหน้าผา สามาถชมทิวทัศน์งดงามของหุบเขาเบื้องล่างได้แบบพาโนรามา ด้านหน้าอาคารตกแต่งด้วยไม้กางเขน และลวดลายประดับขอบอาคาร ภายในโบสถ์มีภาพเขียนเฟรสโกจากศตวรรษที่ 8 และผนังด้านใต้มีภาพเขียนจากศตวรรษที่ 16

เที่ยวอาร์เมเนีย ประเทศคริสต์แห่งแรกของโลก

อาร์เมเนีย เป็นประเทศเล็กๆ ที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเทือกเขาคอเคซัส ระหว่างพรมแดนยุโรปตะวันออกกับเอเชียตะวันตก มีอาณาเขตทางตะวันตกติดกับตุรกี และทางใต้ติดกับอิหร่าน มีเมืองหลวงชื่อ กรุงเยเรวาน (Yerevan)

อาร์เมเนียเป็นหนึ่งในประเทศของกลุ่มเครือรัฐเอกราช (องค์กรระหว่างประเทศที่ประกาศเอกราชหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต) เป็นประเทศที่นับถือศาสนาคริสต์อย่างเป็นทางการเป็นประเทศแรกในโลกตั้งแต่ปี 301 และรับเอาความเชื่อในศาสนาคริสต์มาใช้ในสถาปัตยกรรม วรรณกรรม ศิลปะ อีกทั้งยังเป็นดินแดนที่ผลิตไวน์ตามตำนานไบเบิล ซึ่งมีประวัติความเป็นมาเก่าแก่กว่า 6,000 ปีอีกด้วย

10 ที่เที่ยวห้ามพลาดในอาร์เมเนีย

1. อารามฮัคพัท (Haghpat Monastry) และอารามซานาฮิน (Sanahin Monastery)

ชมอารามโบราณสองแห่ง อารามฮัคพัท (Haghpat Monastry) และ อารามซานาฮิน (Sanahin Monastery) ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองฮักห์พาท (Haghpat) ทางตอนเหนือของประเทศ โดยอารามทั้งสองแห่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี 1996 สร้างขึ้นในยุครุ่งเรืองของราชวงศ์คลูริเคียน (Klurikain Dynasty) ราวคริสต์ศตวรรษที่ 10-13 มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างแบบไบแซนไทน์กับแบบพื้นถิ่นคอเคเซียน สำหรับอารามทั้งสองยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แม้จะผ่านกาลเวลามานับพันปีแล้วก็ตาม

2. มหาวิหารเอคมิอัดซิน (Echmiadzin Cathedral)

ชม มหาวิหารเอคมิอัดซิน (Echmiadzin Cathedral) ที่แต่เดิมนั้นเป็นที่รู้จักกันในนาม โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งพระแม่เจ้า (Holy Mother of God Church) สร้างขึ้นในราวศตวรรษที่ 4 และได้ชื่อว่าเป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดของโลก โดยตั้งอยู่ในเมืองเอคมิอัดซิน (Echmiadzin) เมืองสำคัญทางด้านศาสนาของชาวอาร์เมเนียน และยังนับได้ว่าเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ สร้างขึ้นโดยนักบุญเกรกอรี่ในปี 303 ปัจจุบันเป็นศูนย์กลางทางจิตวิญญาณของผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายอาร์เมเนียอโพสโตลิก (Apostolic Christian) จากทั่วโลก

3. กรุงเยเรวาน (Yerevan)

เมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของอาร์เมเนีย ตั้งอยู่ริมแม่น้ำฮราซดาน สามารถมองเห็นภูเขาอารารัตสูง 5,137 เมตร ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในประเทศตุรกี โดยเมืองหลวงแห่งนี้เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ 5 แห่ง โรงอุปรากร 3 แห่ง ห้องแสดงดนตรี อาร์ตแกลเลอรี สถาบันเทคโนโลยี ห้องสมุดสาธารณะขนาดใหญ่ 19 แห่ง สวนพฤกษศาสตร์ และสวนสัตว์ อีกทั้งยังเป็นหัวใจของเครือข่ายทางรถไฟและเป็นศูนย์กลางด้านสินค้าเกษตรกรรมของประเทศ เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่อนุรักษ์โบราณสถานอันเก่าแก่และผสมผสานความทันสมัยระหว่างตะวันออกและตะวันตกไว้อย่างลงตัว

4. พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งอาร์เมเนีย (History Museum of Armenia)

เก็บรักษาสมบัติล้ำค่าชิ้นเอกของโลกอันประเมินค่ามิได้ ทั้งวัตถุโบราณต่างๆ เซรามิก อาวุธ ข้าวของเครื่องใช้ของมนุษย์โบราณในยุคก่อนประวัติศาสตร์ อายุกว่า 2-3 ล้านปี รวมถึงของหายากจากประเทศตะวันออกโบราณในภูมิภาคนี้ อาทิ อียิปต์ มิทานี อาณาจักรฮิตไทต์ อัสซีเรีย อิหร่าน โรม อาณาจักรไบแซนไทน์ ฯลฯ

5. โรงละครโอเปร่าและบัลเล่ต์แห่งอาร์เมเนีย (State Academic Opera & Ballet Theatre of Armenia)

สร้างขึ้นในปี 1932 และเปิดการแสดงละครโอเปร่าเรื่องแรก Almast ในอีกหนึ่งปีถัดมา และนับตั้งแต่นั้นก็ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อคณะละครโอเปร่าชื่อดัง ‘บอลชอย’ แห่งรัสเซียมาเปิดการแสดงในปี 1940 อีกทั้งมีการก่อสร้างตึกใหม่ ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดังชาวอาร์เมเนีย ทำให้โรงละครแห่งนี้เป็นหนึ่งในอาคารที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเยเรวาน

6. วิหารการ์นี (Garni Temple)

อดีตพระราชวังฤดูร้อนของกษัตริย์อาร์เมเนีย เคยถูกชาวอาหรับทำลาย และสร้างขึ้นใหม่ในศตวรรษที่ 10 ต่อมาถูกทำลายอีกจากการรุกรานของชาวเติร์ก จากนั้นก็เกิดเหตุแผ่นดินไหวในปี 1679 และเพิ่งได้รับการบูรณะในยุคโซเวียตเมื่อปี 1974 นี้เอง โดยเราสามารถเห็นความแตกต่างระหว่างหินก้อนใหม่ที่ไม่มีการแกะสลักกับหินโบราณที่มีการแกะสลักไว้อย่างสวยงาม ซึ่งถึงแม้ว่าวิหารแห่งนี้จะถูกสร้างแบบกรีก แต่ลวดลายบนตัวอาคารกลับเป็นศิลปะแบบอาร์เมเนียน ที่ไม่สามารถเห็นได้ในวิหารกรีกทั่วไป

7. อารามคอร์วิราพ (Khor Virap Monastery)

เมืองคอร์วิราพ (Khor Virap) คือเมืองที่ชาวอาร์เมเนียทั่วโลกจะเดินทางมาทำพิธีจาริกแสวงบุญ เพราะตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้มีการบันทึกเหตุการณ์ในยุคโบราณว่า กษัตริย์ทิริเดทที่ 3 แห่งอาร์เมเนียได้จับนักบุญเกรกอรี ผู้เผยแผ่ศาสนา (ซึ่งต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นพระสังฆราชองค์แรกของอาร์เมเนีย) ขังไว้ในถ้ำในเมืองแห่งนี้นานถึง 13 ปี ปัจจุบันที่ อารามคอร์วิราพ (Khor Virap Monastery) จึงกลายเป็นอนุสรณ์สถานสำหรับพิธีจาริกแสวงบุญ ซึ่งจากที่แห่งนี้สามารถมองเห็นภาพของภูเขาอารารัต (Mount Ararat) ที่ตามตำนานกล่าวว่าเป็นที่จอดของเรือโนอาห์สมัยน้ำท่วมโลกเมื่อ 7,000 ปีก่อนด้วย

8. หมู่อารามโนราแวงค์ (Noravank Monastery Complex)

โนราแวงค์ (Noravank) ในภาษาอาร์เมเนียมีความหมายว่า ‘อารามแห่งใหม่’ สร้างขึ้นโดยบิชอพฮอฟฮานส์ ราวศตวรรษที่ 13 โดยในบริเวณ หมู่อารามโนราแวงค์ (Noravank Monastery Complex) ประกอบด้วยโบสถ์นักบุญคาราเพ็ต ที่ฝังพระศพของเจ้าชายสมาบัต โบสถ์นักบุญกริกอร์ ที่มีห้องโถงโค้งอันสวยงาม และโบสถ์นักบุญอัสต์วาตซัตซิน (โบสถ์พระแม่มารี) ซึ่งเป็นโบสถ์ที่โด่งดัง เพราะเป็นโบสถ์สองชั้น ที่มีทางเดินขึ้นเป็นบันไดแคบๆ ยื่นออกมาด้านนอกอาคาร

9. หมู่บ้านอะเรนี (Areni Village)

ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของอาร์เมเนีย เป็นแหล่งผลิตไวน์แห่งแรกๆ ของโลก โดยมีการค้นพบเครื่องมือและเซลล์ของต้นพืชที่นำมาผลิตไวน์ถูกทิ้งเอาไว้ภายในถ้ำต่างๆ ที่อยู่ใกล้กับหมู่บ้านอะเรนี  นอกจากนั้นตามพระคัมภีร์ไบเบิลยังได้กล่าวถึงเรื่องของเรือโนอาห์ ที่ได้เก็บพันธุ์พืชทุกอย่างลงเรือ หลังจากที่ได้เกิดน้ำท่วมโลกเมื่อประมาณ 7,000 ปีก่อน และได้ลอยมาจอดตรงบริเวณเทือกเขาอารารัต และหลังจากน้ำได้แห้งลงก็ได้มีการนำเอาพันธุ์พืชต่างๆ ไปเลือกปลูกตามพื้นที่ที่เหมาะสม เช่น ที่หมู่บ้านอะเรนีแห่งนี้ ที่มีประวัติการทำเหล้าไวน์มานานกว่า 6,000 ปี

10. ทะเลสาบเซวาน (Lake of Sevan) 

ตั้งอยู่ในเมืองเซวาน (Sevan) ซึ่งกินพื้นที่กว่า 940 ตารางกิโลเมตรและล้อมรอบด้วยแม่น้ำทั้งหมด 28 สาย ร่วมชมความสวยงามของตัวเมือง อดีตบ้านพักอาศัยของชาวรัสเซียรอบทะเลสาบ พร้อมด้วยสถานที่พักผ่อนประเภทรีสอร์ทของนักท่องเที่ยว ก่อนล่องเรือชมความงามของ อารามเซวาน (Sevan Monastery) ที่ตั้งอยู่บริเวณแหลมด้านตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลสาบ

เยือนอาเซอร์ไบจาน ดินแดนแห่งไฟ ต้นธารโซโรแอสเตอร์

อาเซอร์ไบจาน เอ่ยชื่อนี้คงจะเกาหัวกันแกร่กๆ (เหมือนกันกับเรา-ฮา) ว่าประเทศนี้มันอยู่ส่วนไหนของโลกกันนะ? แต่ถ้าบอกว่าอยู่ใต้รัสเซีย อยู่เหนืออิหร่านก็คงพอจะนึกภาพบนแผนที่กันออกอยู่บ้าง ทีนี้ถ้าอยากรู้จักกันให้มากขึ้น ข้อมูลต่อมาคือ อาเซอร์ไบจานเคยเป็น 1 ใน 15 สาธารณรัฐองค์ประกอบของสหภาพโซเวียต ก่อนแยกตัวออกเป็นรัฐอิสระหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991 แถมยังตั้งอยู่ในแนวเทือกเขาคอเคซัส เส้นแบ่งเขตแดนทางธรรมชาติ ที่แยกยุโรปตะวันออกและเอเชียตะวันตกออกจากกันอีกด้วย

แล้วถามว่าอาเซอร์ไบจานมีอะไรให้เที่ยวบ้าง? คำตอบคือ มีทั้งธรรมชาติ ซึ่งมีไฮไลต์อยู่ที่วิวทิวทัศน์ริมทะเลสาบแคสเปียน ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในโลก ภูเขาโคลนและภูเขาแห่งไฟที่เกิดจากการปะทุของก๊าซธรรมชาติใต้ดิน ซึ่งอาเซอร์ไบจานมีในครอบครองมากเป็นอันดับที่ 24 ของโลก (จากการจัดอันดับของโอเปคในปี 2018)

และทางวัฒนธรรม ที่อาเซอร์ไบจานถือเป็นดินแดนสำคัญ เป็นรอยต่อระหว่างยุโรปตะวันออกและเอเชียตะวันตก มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนานและด้วยผู้ปกครองมากหน้าหลายตา ทั้งจากเปอร์เซีย มองโกล และโซเวียต ทำให้มีการผสมผสานวัฒนธรรมอันหลากหลาย เป็นที่ตั้งของเมืองเก่าหลายแห่ง มีสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจมากมาย โดยเฉพาะสถาปัตยกรรมแบบอิสลาม ซึ่งได้อิทธิพลจากศาสนาประจำชาติของชาวอาร์เซอร์ไบจาน และที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ ศาสนสถานของศาสนาโซโรแอสเตอร์ (ลัทธิบูชาไฟ) ซึ่งมีต้นกำเนิดในจักรวรรดิเปอร์เซียโบราณอันยิ่งใหญ่ ที่ยังปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน

9 ที่เที่ยวต้องไปในอาเซอร์ไบจาน

ดินแดนแห่งไฟ ต้นธารโซโรแอสเตอร์

1. เมืองเก่าอีเซรี เซแฮร์ (Iceri Sehir)

สัญลักษณ์ของกรุงบาคูซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี 2000 สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 โดยกษัตริย์แห่งราชวงศ์ชีวาน ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งขนาดใหญ่ ล้อมรอบด้วยกำแพงป้อมปราการ ภายในมีสถาปัตยกรรมแบบยุคกลางกว่า 200 อาคาร โดยมีจุดที่น่าสนใจอยู่ที่พระราชวังชีวานชาห์ (Shirvanshahs Palace) สุเหร่าดีวานข่าน (Divankhane Mosque) มัสยิดโมฮัมหมัด อิบิน อาบู บาเคีย (Mosque Muhammad ibn Abu Bakr) และหอขานละหมาดเมเดน (Maiden Tower) สูง 8 ชั้น

2. สถานีรถไฟบากู (Baku Metro Stations)

เปิดใช้ในปี 1967 ระหว่างการปกครองโดยโซเวียต ต่อมาได้รับการปรับปรุงตกแต่งให้มีความสวยงามจนกลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึก และเมื่อมานั่งรถไฟมาลงที่สถานี Sahil คุณก็จะได้ช้อปปิ้งภายใน TSUM Shopping Store ห้างชื่อดังของกรุงบาคู ซึ่งตั้งอยู่บริเวณจัตุรัสน้ำพุ ย่านการค้าที่มีสินค้าพื้นเมือง สินค้าหัตถกรรม รวมถึงสินค้าแบรนด์เนมต่างๆ ให้ได้ละลายทรัพย์กันอย่างเพลิดเพลิน

3. จุดชมวิวเมืองบากู (Sehidler Xiyabani)

ตั้งอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดของเมือง เป็นจุดชมวิวแบบพาโนรามา สามารถเห็นอ่าวโค้งของทะเลสาบแคสเปียน พร้อมกับตึกรามบ้านช่องและอาคารสูงตระหง่าน รวมถึงท่าเรือและแท่นขุดเจาะน้ำมัน เนื่องจากอาเซอร์ไบจานมีแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจำนวนมากนั่นเอง

4. ภูเขาแห่งไฟ (Fire Mount)

ยานาร์แด๊ก (Yanar Dag) หรือภูเขาแห่งไฟ (Fire Mount) ตั้งอยู่ในบริเวณ แหลมอับเชรอน (Absheron Peninsula) แหลมที่ยื่นเข้าไปในทะเลสาบแคสเปียน เป็นแหล่งบ่อแก๊สธรรมชาติ บางบ่อมีไฟลุกติดอยู่ตลอดเวลา จึงเชื่อว่าเป็นที่มาของการเกิดศาสนาไซโรแอสเตอร์ (Zoroastrianism) ซึ่งเป็นลัทธิบูชาไฟก่อกำเนิดเมื่อ 2,600 ปีมาแล้ว

ชมเปลวไฟที่เกิดจากก๊าซลุกไหม้ต่อเนื่องกันมานาน จนเป็นที่รู้จักในชื่อ ดินแดนแห่งไฟ (Land of Fire) โดยนักธรณีวิทยาได้เรียกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ว่าการพลุ่งของก๊าซ (Gas-Oil Volcanoes) กับความแปลกประหลาดของเปลวไฟที่ซึมผ่านชั้นหินทรายอย่างต่อเนื่องและตลอดเวลา ซึ่งบางแห่งอาจพวยพลุ่งออกมายาวถึง 3 เมตรเลยทีเดียว!

ใกล้ๆ กันเป็นที่ตั้งของ วิหารแห่งไฟ (Ateshgah) ศาสนสถานของศาสนาโซโรแอสเตอร์ เป็นวิหารที่ตั้งอยู่บนหลุมแก๊สธรรมชาติ สร้างขึ้นราวศตวรรษที่ 6-7 มีรูปทรงสี่เหลี่ยมและมีกระถางไฟอยู่ตรงกลาง เมื่อศาสนาอิสลามเผยแพร่เข้ามา วิหารหลายแห่งก็ถูกทำลาย พวกโซโรแอสเตรียนได้หลบหนีไปอยู่ที่อินเดีย แต่จากการติดต่อค้าขาย พวกบูชาไฟได้กลับมายังถิ่นเดิมในช่วงศตวรรษที่ 17-18 แล้วมาฟื้นฟูวิหารขึ้นมาใหม่ วิหารแห่งไฟในปัจจุบันจึงมีสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างอินเดียและอาร์เซอร์ไบจาน

5. กลุ่มปราสาทแห่งอับชารอน (Castles of Absharon)

ตั้งอยู่ในเมืองมาร์ดาคาน (Mardakan) สร้างขึ้นราวศตวรรษที่ 12-14 และยังคงถูกรักษาไว้อย่างดี ทำให้มีความโดดเด่นในด้านการท่องเที่ยวของอาเซอร์ไบจาน เป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ชม ปราสาทมาร์ดาคาน (Mardakan Castle) ที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 มีหอคอยสูงราว 25 เมตร สามารถมองเห็นได้จากระยะไกล ล้อมรอบด้วยกำแพงและบ่อน้ำ ส่วนอีกแห่งหนึ่งที่ขนาดเล็กกว่ามีชื่อว่า ปราสาทรามานา (Ramana Castle) สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 ถูกสร้างให้มีรูปทรงคล้ายกัน

6. ภูเขาโคลนแห่งโกบัสตาน (Mud Domes Gobustan)

มีให้เห็นอยู่ราว 700 แห่ง ความพิเศษอยู่ที่การมีโคลนสีดำพลุ่งขึ้นตลอดเวลา เกิดจากการผสมกันของดินโคลน ก๊าซ และน้ำร้อนใต้ดิน พลุ่งขึ้นมาบนพื้นดินเป็นรูปกรวยหรือโดมสวยงาม โดยภูเขาไฟโคลนมากกว่าครึ่งหนึ่งของโลกพบได้ที่อาเซอร์ไบจาน

7. พิพิธภัณฑ์ภาพสลักหินโกบัสตาน (Rock Painting Gobustan)

ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี 2007 มีไฮไลต์อยู่ที่ภาพเขียนและภาพแกะสลักเก่าแก่อายุราว 5,000-20,000 ปี! โดยในอดีตราวศตวรรษที่ 12 ก่อนคริสตกาล คาดว่าบริเวณนี้เป็นพื้นที่อยู่อาศัยของชนเผ่า ที่มีความสามารถในการแกะสลักภาพบนก้อนหิน โดยภาพเขียนส่วนใหญ่เป็นภาพคน สัตว์ การเต้นรำ ภาพนักรบ ดวงอาทิตย์ และดวงดาว

8. สุสานนักบุญศักดิ์สิทธิ์ดิริบาบา (Diri Baba Mausoleum)

สร้างขึ้นราวศตวรรษที่ 14 เป็นงานชิ้นเอกของสถาปัตยกรรมของราชวงศ์ชีวาน ผู้ปกครองอาเซอร์ไบจานระหว่างศตวรรษที่ 9-16 มีลักษณะเป็นอาคารสองชั้นเจาะเข้าในในหน้าผาหิน ภายในมีการตกแต่งด้วยภาพโมเสกสวยงาม ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับนักแสวงบุญขาวอาเซอร์ไบจาน ที่มาสักการะท่านนักบุญเชคดิริบาบาเป็นประจำทุกปี

9. พระราชวังข่านเชคี (Sheki Khan Palace)

สร้างเสร็จในปี 1762 โดยมูหะหมัด ฮัสซัน ข่าน ผู้ครองดินแดนในขณะนั้น ตัวพระราชวังสวยงามทั้งภายในและภายนอก ภายในมีภาพวาดลวดลายตามผนังและเพดานสวยงามแตกต่างกันไปในแต่ละห้อง ตกแต่งด้วยกระเบื้องหลากสี ทั้งสีนํ้าเงินเข้ม สีฟ้าคราม สีเหลือง ตามรูปทรงเรขาคณิตแบบอิสลาม ส่วนภายนอกมาพร้อมนํ้าพุ สระนํ้า และการจัดสวนอันหรูหรา ทั้งยังสามารถมองเห็นทิวทัศน์อันงดงามของเมืองเชคี ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณเทือกเขาคอเคซัสใหญ่ อุดมไปด้วยภูเขา ลำธารน้ำไหล น้ำตก และป่าเขาอันเขียวชอุ่ม

สนใจเส้นทางเจาะลึกเทือกเขาคอเคซัส อาเซอร์ไบจาน จอร์เจีย อาร์เมเนีย

โทร. 09 8885 8842 / 09 8865 2094

Close