โรมาเนีย & มอลโดวา บุกปราสาทแดร็กคูล่า ชมร่องรอยประวัติศาสตร์โซเวียต

August 23, 2019
Highlight of the month

โรมาเนีย & มอลโดวา บุกปราสาทแดร็กคูล่า ชมร่องรอยประวัติศาสตร์โซเวียต

 อีกหนึ่งความท้าทายของการเดินทางคือ การเดินทางท่องเที่ยวไปยังดินแดนที่ไม่รู้จัก (หรือรู้จักน้อยมากๆ) อย่าง โรมาเนีย ที่นอกจากตำนานท่านเคานท์แดร็กคูล่า เราก็แทบไม่รู้จักอะไรอีกเลย เช่นเดียวกับ มอลโดวา ประเทศชื่อเพราะ ที่รู้เพียงว่าเคยเป็นส่วนหนึ่งสหภาพโซเวียต

ภูมิภาคยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ หรือบริเวณคาบสมุทรบอลข่าน

การเดินทางของเราตลอด 11 วันในภูมิภาคยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ครั้งนี้ จึงเต็มไปด้วยประสบการณ์อันแปลกใหม่ โดยเฉพาะการได้ชมสถาปัตยกรรมอันน่าทึ่งในโรมาเนีย อย่างอาคารรัฐสภาแห่งบูคาเรสต์ ปราสาทแดร็กคูล่า หรือแม้แต่โบสถ์ไม้ที่สูงที่สุดในโลก ก่อนข้ามพรมแดนไปชมร่องรอยประวัติศาสตร์โซเวียตกันที่กรุงคีซีเนา เมืองหลวงของมอลโดวา และตื่นตะลึงกับโรงเก็บไวน์ใต้ดิน ที่เก็บไวน์ได้มากถึง 2 ล้านขวด!

Getting to know Romania

โรมาเนีย เป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ มีพรมแดนติดกับหลายประเทศ ทั้งยูเครน มอลโดวา บัลแกเรีย เซอร์เบีย และฮังการี มีแม่น้ำสายสำคัญของยุโรป อย่างแม่นํ้าดานูบไหลผ่านกว่า 1,075 กิโลเมตร ก่อนไหลลงสู่ทะเลดำทางตะวันออกของประเทศ

โรมาเนียเป็นดินแดนอารยธรรมเก่าแก่ มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่ 600 ปีก่อนคริสตกาล มีหลักฐานและบันทึกการค้ากับชาวกรีกบริเวณชายฝั่งทะเลดำ ก่อนตกเป็นอาณานิคมของหลายจักรวรรดิ ตั้งแต่โรมัน ฮังการี ออตโตมัน ไล่มาถึงออสเตรีย ก่อนที่จะแยกตัวเป็นอิสระ หลังฝ่ายมหาอำนาจกลางโดยจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี พ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 มีเมืองเก่า หอรบ และสถาปัตยกรรมน่าสนใจหลายแห่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ ทรานซิลวาเนีย (Transylvania) สร้างขึ้นโดยชาวเยอรมัน-แซกซอน (German-Saxons) ซึ่งถูกเกณฑ์มาช่วยรบกับชาวเติร์กในช่วงศตวรรษที่ 12

Did you know?

การเดินทางจากกรุงเทพฯ ไม่มีบินตรงสู่ บูคาเรสต์ (Bucharest) เมืองหลวงของโรมาเนีย วิธีที่ดีที่สุดคือ การบินไปเปลี่ยนเครื่องที่นครอิสตันบูลของตุรกี ใช้เวลาเดินทางราว 11 ชั่วโมง แบ่งเป็นกรุงเทพฯ-อิสตันบูล 9 ชั่วโมงครึ่ง และอิสตันบูล-บูคาเรสต์อีก 1 ชั่วโมงครึ่ง (ไม่รวมเวลาแวะพักที่สนามบิน)

1. กรุงบูคาเรสต์ (Bucharest)

บูคาเรสต์ เมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของโรมาเนีย เป็นหนึ่งในศูนย์กลางด้านอุตสาหกรรมและการขนส่งของยุโรปตะวันออก ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ ริมฝั่ง แม่นํ้าดามโบวิตา (Dambovita River) มีสถาปัตยกรรมสวยงามห้อมล้อมด้วยธรรมชาติ จนได้รับการขนานนามให้เป็น Little Paris

สำหรับย่านเมืองเก่าบูคาเรสต์ถือเป็นแหล่งช้อปปิ้งยอดนิยม ขณะที่พื้นที่โดยรอบเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์อย่าง จัตุรัสแห่งการปฎิวัติ (Revolution Square) ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์รำลึกถึงการปฏิวัติในปี ค.ศ. 1989 รวมถึง ประตูชัย (Arch of Triumph) ที่สร้างเลียนแบบประตูชัยในกรุงปารีส ซึ่งตั้งอยู่บนถนน Kisseleff ด้วย

ส่วนใครเป็นสายมิวเซียม ต้องไม่พลาด พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติโรมาเนีย (National Museum of Romanian History)  พิพิธภัณฑ์เก่าแก่ สถานที่เก็บสมบัติลํ้าค่าของอดีตกษัตริย์โรมาเนีย ไม่ว่าจะเป็นมงกุฎเพชร เครื่องประดับเพชรและอัญมณีลํ้าค่าต่าง ๆ ตลอดจนเครื่องราชอิสรยาภรณ์ในแต่ละยุคสมัยด้วย

และอีกหนึ่งสถานที่ในกรุงบูคาเรสต์ ที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ อาคารรัฐสภา (Palace of the Parliament) อดีตทำเนียบประธานาธิบดีที่ใหญ่โตโอฬารของประธานาธิบดีนิโคไล เชาเชสคู และภริยาผู้อยากมีชีวิตหรูหรา  โดยการก่อสร้างเริ่มต้นในปี 1984 จนกระทั่งถึงวันที่ประชาชนทั่วประเทศออกมาเดินขบวนขับไล่นายเชาเชสคูและภริยาออกจากการเป็นผู้นำในปี 1989 แต่การก่อสร้างอาคารสไตล์โรมาเนียนก็ได้ดำเนินการต่อจนแล้วเสร็จในปี 1997

นับเป็นอาคารราชการที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากตึกเพนตากอนของสหรัฐอเมริกา โดยมีความสูงถึง 12 ชั้น พื้นที่ใช้สอยรวม 212 ไร่ มาพร้อมห้องต่าง ๆ ที่ตกแต่งอย่างหรูหราด้วยโคมไฟแชนเดอเลียร์ พรมเปอร์เซีย รวมถึงหินอ่อนจากอิตาลีกว่า 1,100 ห้อง และเมื่อมองลงมาจากระเบียงรัฐสภายังจะได้เห็นจัตุรัสขนาดใหญ่ ที่ถือเป็นจุดชมวิวเมืองบูคาเรสต์ที่สวยงามที่สุดอีกหนึ่งจุดด้วย

2. พิพิธภัณฑ์หมู่บ้านประจำชาติ (National Village Museum)

ตั้งอยู่ริมทะเลสาบภายในสวนสาธารณะ Herastrau Park ชานกรุงบูคาเรสต์ เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป โดยศาสตราจารย์ Dimitrie Gusti ได้ใช้เวลากว่า 10 ปี ในการศึกษาและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสถาปัตยกรรม วัฒนธรรมประเพณี รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตประจำวันของชาวโรมาเนียทั้ง 6 เขต ได้แก่ Transylvania, Banat, Muntenia, Oltenia, Dobrogea และ Moldova มาจัดแสดงไว้ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้

3. เหมืองเกลือสลานิก (Slanic Salt Mines)

สลานิกเป็นเมืองระหว่างหุบเขาที่อุดมไปด้วยแร่เกลือ จึงมีการขุดเจาะภูเขาเพื่อทำเหมืองเกลือมานับ 300 ปี ต่อมาได้มีการศึกษาค้นคว้าในเรื่องธรรมชาติบำบัด เพื่อการรักษาโรคปอด ทำให้เหมืองเกลือบางส่วนที่ความลึก 210 เมตร ถูกดัดแปลงมาเป็นสถานพยาบาลรักษาโรคปอดด้วยอากาศเค็มและนํ้าแร่ร้อน ซึ่งมีสารประกอบของแคลเซียม คลอรีน และโซเดียมกำมะถัน

ชมเหมืองเกลือที่มีพื้นที่เกือบ 50 ไร่ ขุด ตัด เจาะเป็นถ้ำถึง 14 ห้อง สามารถปรับอุณหภูมิภายในให้คงที่ที่ 12 องศาเซลเซียสตลอดทั้งปี ขณะที่ความชื้นของอากาศอยู่ที่ 50% ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ช่วยเพิ่มไอออนโซเดียมในอากาศมากขึ้น เหมาะกับการรักษาโรคขาดลมหายใจและบรรเทาความเครียด ภายในเหมืองยังจัดให้มีพื้นที่สำหรับเล่นกีฬา ว่ายนํ้า บิลเลียด และบาร์ให้ได้นั่งดื่มหย่อนอารมณ์กันด้วย

4. ปราสาทเปเลสแห่งซินายา (Peles Castle of Sinaia)

ในปี 1873 กษัตริย์คาร์ลที่ 1 แห่งโรมาเนีย โปรดเกล้าฯ ให้สร้างปราสาทเปเลสขึ้น เพื่อใช้เป็นพระราชวังฤดูร้อน ด้วยสถาปัตยกรรมผสมผสานสไตล์เยอรมัน-อิตาเลียนเรเนสซองส์ โกธิก บาร็อก และร็อกโคโค ตั้งอยู่ในหุบเขาบูเซกิ ล้อมรอบด้วยป่าสนหนาทึบ ภายในประดับตกแต่งด้วยคอลเล็กชั่นภาพวาดกว่า 2,000 ภาพ นับเป็นหนึ่งในปราสาทที่สวยที่สุดในยุโรป ซึ่งปัจจุบันได้กลายมาเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของเมืองซินายา และได้รับการขนานนามให้เป็นไข่มุกแห่งคาร์เปเธี่ยน (Pearl of the Carpathians)

5. พระอารามซินายา (Sinaia Monastery)

6. ปราสาทแดร็กคูล่า (Bran Castle)

ชมปราสาทบนภูเขาอายุหลายร้อยปี ที่เคยเป็นฉากหลังในนิยายและภาพยนตร์เรื่อง แดร็กคูล่า (Dracula) เจ้าชายกระหายเลือดของนักเขียนนิยายชื่อดังชาวไอริช บราม สโตเกอร์

โดยแท้ที่จริงแล้ว เจ้าชายพระองค์นี้ สโตเกอร์ได้แรงบันดาลใจมาจาก วลาด เทเปส (Vlad Tepes)กษัตริย์นักรบผู้โหดเหี้ยมและวีรบุรุษผู้กล้าของแคว้นวาลาเคีย ที่ทรงต่อสู้กับพวกเติร์กอย่างกล้าหาญ ผู้ที่สโตเกอร์นำมาผูกเรื่องเข้ากับเคานท์แดร็กคูล่า ที่กลางวันนอนโลงศพ กลางคืนลุกขึ้นมาดูดเลือดเหยื่อสาวสวย จนทำให้ผู้คนรู้จักปราสาทบรานในฐานะปราสาทแดร็กคูล่านับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

7. เมืองบราซอฟ (Brasov)

เมืองที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโรมาเนีย มียุทธภูมิที่ดีเพราะมีภูเขาโอบล้อมถึงสามด้าน ทั้งยังเป็นเมืองที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดเมืองหนึ่งในยุโรป มีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ทั้ง โรงเรียนแห่งแรกของโรมาเนีย (Romanian First School) ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1495 บริเวณเดียวกับ โบสถ์เซนต์นิโคลัส (Saint Nicolas Church) และมีการปรับปรุงใหม่อีกครั้งในปี ค.ศ. 1964 เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงคัมภีร์ไบเบิลและหนังสือโบราณกว่า 6,000 เล่ม

รวมถึง โบสถ์ดำ (Black Church) ที่สร้างขึ้นในปี 1383 เป็นโบสถ์สไตล์โกธิกที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปตะวันออก ที่ได้ชื่อว่าโบสถ์ดำ เนื่องจากได้เกิดไฟไหม้โบสถ์ในปี 1689 ภายในมีออร์แกนเก่าแก่สร้างขึ้นโดยช่างชาวเบอร์ลิน มีท่อทั้งหมด 4,000 ท่อ นอกจากนั้น ยังมีระฆังขนาดใหญ่ นํ้าหนักถึง 7 ตัน! นับเป็นระฆังขนาดใหญ่ที่สุดของโรมาเนีย

8. เมืองซีบิว (Sibiu)

อดีตเมืองหลวงของอาณาจักรทรานซิลวาเนีย เป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางวัฒนธรรมที่สำคัญที่สุดของโรมาเนีย จนได้รับการขึ้นทะเบียนป็นเมืองมรดกโลกในปี 2004 และได้รับเลือกเป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมยุโรปร่วมกับลักเซ็มเบิร์กในปี 2007

ชมย่านเมืองเก่า (Old Town) บนฝั่งขวาของแม่นํ้าซิบิน (Cibin) เมืองในยุคกลางที่ยังคงได้รับการอนุรักษ์ให้คงความยิ่งใหญ่ สะท้อนให้เห็นความรํ่ารวยและเรืองอำนาจในสมัยก่อน นักท่องเที่ยวสามารถเดินไปตามถนนแคบ ๆ ที่ตัดผ่านสู่ จัตุรัสกลางเมือง (Grand Square) อันเป็นที่ตั้งโรงพยาบาลแห่งแรก ร้านขายยาแห่งแรกของโรมาเนีย รวมถึง พิพิธภัณฑ์ Brukenthal ที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศด้วย

รวมถึง วิหารโคเซยี (Cozia Monastery) ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1386 ภายในมีภาพจิตรกรรมเกี่ยวกับพระเยซูและนักบุญต่าง ๆ งดงามมาก และ วิหารอีวานเจลิคัล (Evangelical Cathedral) อาคารสไตล์โกธิกที่มียอดแหลม 5 ยอด สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1520 ภายในมีจิตรกรรมฝาผนังขนาดใหญ่ แสดงการตรึงกางเขนในสไตล์โกธิกผสมเรเนสซองส์

ปิดท้ายด้วยสะพาน Liar’s Bridge สะพานเหล็กแห่งแรกของโรมาเนีย และแห่งที่ 2 ของยุโรป ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญอีกหนึ่งแห่งของเมืองซีบิว

9. โบสถ์ป้อมปราการแห่งเบียร์ตาน (Biertan)

การก่อตั้งชุมชนเบียร์ตานเริ่มต้นโดยพวกเยอรมัน-แซกซอนในปี 1224 มีสถานที่สำคัญอย่าง โบสถ์ป้อมปราการแห่งเบียร์ตาน (Biertan Fortified Church) โบสถ์ประจำเมือง ที่มีทั้งป้อมปราการและหอรบล้อมรอบ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะนอกจากจะใช้เป็นศาสนสถานแล้ว ยังถูกใช้เป็นที่หลบภัยของชาวเมืองเมื่อเกิดภัยสงครามด้วย ซึ่งต่อมาโบสถ์แห่งนี้พร้อมกับโบสถ์ป้อมปราการอีก 6 แห่งในแคว้นทรานซิลวาเนียได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกภายใต้ชื่อ โบสถ์ป้อมปราการแห่งทรานซิลวาเนีย (Fortified Churches of Transylvania)

10. เมืองซีกิสซัวรา (Sighisoara)

เมืองประวัติศาสตร์ในเขตทรานซิลวาเนีย สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 12 และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี 1999 มีสถานที่สำคัญในย่านเมืองเก่าอย่าง ป้อมปราการซีกิสซัวรา (Sighisoara Fortress) ป้อมปราการจากยุคกลางและเป็นศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ของเมือง พิพิธภัณฑ์หอนาฬิกา (Clock Tower Museum) ที่ภายในหอนาฬิกายักษ์อายุ 800 ปี เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์เก็บสะสมของมีค่าที่ขุดได้ภายในเมือง และทุกชั่วโมงตุ๊กตาไม้บนยอดนาฬิกาจะออกมาเต้นระบำให้นักท่องเที่ยวได้ชมกัน

แล้วค่อยปิดท้ายด้วย โบสถ์บนเนินเขา (Church on the Hill) โบสถ์คริสต์นิกายลูเธอรัน สถาปัตยกรรมแบบโกธิก ภายในตกแต่งอย่างสวยงามด้วยภาพเฟรสโก้

11. โบสถ์ไม้แห่งหมู่บ้านซูร์เดซี (Wooden Church of Surdesti)

สร้างขึ้นเมื่อปี 1766 โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมโรมาเนียแบบดั้งเดิม เป็นโบสถ์ไม้ที่สูงที่สุดในโลก ด้วยความสูงถึง 54 เมตร! ชื่นชมกับเทคนิควิธีการเข้าไม้แบบโบราณของชาวโรมาเนียให้ออกมางดงามและสูงชลูดจนน่าทึ่ง ขณะที่ภายในตกแต่งด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังของศิลปินท้องถิ่น Stefan of Sisesti

12. โบสถ์ไม้แห่งมารามูเรซ (Wooden Church of Maramures County)

ตั้งอยู่ในแคว้นมารามูเรซ ทางตอนเหนือของโรมาเนีย สำหรับโบสถ์ไม้ทั้ง 7 แห่งนี้ สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 ก่อนจะมาเสร็จสมบูรณ์เอาในศตวรรษที่ 19 ซึ่งต่อมาองค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนโบสถ์ไม้แห่งมารามูเรชเป็นมรดกโลกในปี 1999 หนึ่งในนั้นคือ ‘โบสถ์นักบุญนิโคลัสแห่งบูเดสตี’ (Church of Saint Nicholas of Budesti) ด้วยความโดดเด่นทางด้านสถาปัตยกรรมที่มีรูปทรงแปลกตา ไม่เหมือนโบสถ์ที่อื่น กับอาคารทรงแคบ สูง ส่วนบนสุดของหลังคามุงด้วยกระเบื้องไม้ เป็นทรงสามเหลี่ยมยอดแหลมคล้ายพีระมิด ประกอบด้วยหอนาฬิกาทางทิศตะวันตก อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของโบสถ์ไม้แบบมารามูเรซ

และ อารามบาร์ซานา (Barsana Monastery) โบสถ์ไม้แห่งมารามูเรซอีกแห่ง แต่มีขนาดเล็ก สร้างขึ้นแบบมีหลังคาลาดชัน 2 ชั้น มีระเบียง หอระฆัง ภายในประดับตกแต่งด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังโดยศิลปินท้องถิ่นอย่างสวยงาม

รวมถึง หมู่บ้านคีโอคาเนสตี (Ciocanesti)  หมู่บ้านที่ขึ้นชื่อเรื่องการทำไข่อีสเตอร์ โดยบ้านแต่ละหลังได้รับการตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้นนูนตํ่าหลากสีจนต้องลงไปเดินเก็บภาพลวดลายผนังและหน้าต่างบ้านให้ครบทุกหลัง

13. หมู่บ้านอารามเขียนสีแห่งบูโควินา (Churches of Bucovina)

ตั้งอยู่ในเมือง ชุคเชียฟวา (Suceava) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของโรมาเนีย และสิ่งที่ชักจูงให้ผู้คนเดินทางมาที่นี่ก็คือ บรรดาอารามเขียนสีเหล่านี้ ที่บอกเล่าถึงแรงศรัทธาแห่งคริสตศาสนานิกายออโธดอกซ์ ผ่านผลงานจิตรกรรมที่สื่อออกมาได้อย่างมีชีวิตชีวาและมีสีสันสวยงาม ทั้งภายในและภายนอกอาคาร โดยเป็นภาพของเหล่านักบุญ นางฟ้า เทวดา นรก สวรรค์ รวมถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิล แสดงให้เห็นถึงพลังศรัทธาอันแรงกล้าของคริสตศาสนิกชนในแถบนี้

ปัจจุบันหมู่อารามเขียนสีแห่งบูโควินา จำนวน 7 แห่งจากทั้งหมด 48 แห่ง ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางด้านวัฒนธรรมในฐานะที่เป็นผลงานศิลปะแบบไบเซนไทน์ชิ้นเอกระดับโลก

โดยอารามที่เป็นไฮไลต์มีทั้ง อารามมอลโดวิตา (Moldovita Monastery) โบสถ์ที่มีภาพจิตรกรรมโดดเด่นด้วยสีเหลืองทอง บอกเล่าเรื่องราวการกำเนิดของพระเยซูเจ้า ตั้งแต่การปรากฏตัวของเทวดาเกเบรียลต่อหน้าพระแม่มารี เพื่อประกาศว่าแมรีจะเป็นผู้ให้กำเนิดพระบุตรของพระเจ้า การประสูติของพระเยซูเจ้า จนถึงเหตุการณ์ทุกขกิริยาของพระองค์ ที่ถูกบอกเล่าผ่านภาพวาดแบ่งเป็นกรอบสี่เหลี่ยมเรียงตามลำดับเหตุการณ์อย่างชัดเจน

ต่อด้วย อารามซุคเซวิตา (Sucevita Monastery) ซึ่งมีภาพสร้างชื่อที่ทุกคนต้องมาเห็นด้วยตาคือ ภาพบันไดแห่งทวยเทพ (Staircase of Virtues) ที่ได้ชื่อว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของงานเขียนสีปูนเปียกของโรมาเนียเลยทีเดียว โดยภาพจิตรกรรมฝาผนังเต็มผนังโบสถ์ด้านทิศเหนือ แสดงให้เห็นบันได 30 ขั้นที่นำดวงวิญญาณขึ้นสู่สรวงสวรรค์ บรรดาเหล่านางฟ้าต่างประคองมงกุฎ เพื่อมอบให้กับดวงวิญญาณที่สามารถขึ้นสู่ประตูสวรรค์ ในขณะเดียวกัน เหล่าปีศาจก็ต่างฉุดลากดวงวิญญาณบาปลงสู่ขุมนรกเบื้องล่าง ผ่านภาพวาดหลากสี ทั้งแดง เหลือง ส้ม แต่สีที่โดดเด่นของโบสถ์ซุคเซวิตา คือเขียวมรกตที่ปรากฏเป็นสีพื้นของภาพเกือบทุกภาพ

และ อารามโวโรเนต (Voronet Monastery) ที่เพียงแค่ได้เห็น ทุกคนต่างลงความเห็นว่า นี่คือสุดยอดภาพจิตรกรรมอันวิจิตรที่สุด เพราะสีพื้นของงานจิตรกรรมแห่งอารามโวโรเนตคือ สีฟ้าโวโรเนต (Voronet Blue) ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1488 โดยเจ้าชายสเตฟานมหาราชแห่งมอลดาเวีย เพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะที่ทรงมีต่อกองทัพเติร์ก

โดยบริเวณผนังทางด้านตะวันตกคือ ภาพขนาดใหญ่ที่บอกเล่าเหตุการณ์ การพิพากษาครั้งสุดท้าย(The Last Judgement) ความงามของภาพจิตรกรรมนี้ได้รับการเทียบชั้นกับภาพการพิพากษาครั้งสุดท้ายที่ไมเคิล แองเจลโล ได้วาดเอาไว้ที่โบสถ์ซิสทีนแห่งนครวาติกัน ซึ่งส่งผลให้โบสถ์โวโรเนตได้รับการขนานนามว่า “โบสถ์ซิสทีนแห่งบุรพทิศ” เลยทีเดียว

Getting to know Moldova

มอลโดวา เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ตั้งอยู่ในภูมิภาคยุโรปตะวันออก ทิศตะวันตกติดกับโรมาเนีย และติดกับยูเครนทางทิศตะวันออก ในอดีตรู้จักกันในชื่อ เบสซารทาเบีย(Bessarabia) เคยอยู่ภายใต้การปกครองของทั้งฮังการี ลิทัวเนีย ออตโตมัน และเปลี่ยนมือระหว่างจักรวรรดิรัสเซียกับโรมาเนียอยู่หลายต่อหลายครั้ง

และเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตในชื่อ สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตมอลดาเวีย (Moldavian Soviet Socialist Republic) ซึ่งมีการส่งเสริมให้ผู้อพยพชาวรัสเซียและยูเครนเข้าไปตั้งถิ่นฐาน โดยเฉพาะบริเวณเขตอุตสาหกรรมทรานส์นีสเตรีย (Transnistria) จวบจนเมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย รัฐสภามอลโดวาก็ได้ประกาศเอกราชจากสหภาพโซเวียต เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ. 1991 มีเมืองหลวงชื่อ กรุงคีซีเนา (Chisinau)

โดยสิ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับมอลโดวามากที่สุดคือ ไวน์ เนื่องจากมอลโดวาตั้งอยู่บนเส้นขนานละติจูดเดียวกับแคว้นเบอร์กันดีของฝรั่งเศส ทำให้มีสภาพภูมิอากาศเหมาะสม บวกกับดินที่อุดมสมบูรณ์อยู่แล้ว ทำให้เป็นดินแดนที่องุ่นเจริญเติบโตได้ดี ซึ่งคาดว่าการผลิตไวน์ในมอลโดวาเริ่มขึ้นตั้งแต่ 300 ปีก่อนคริสตกาล เมื่อพ่อค้าชาวกรีกนำต้นองุ่นเข้ามาเป็นครั้งแรก และมีการผลิตเรื่อยมา กระทั่งในศตวรรษที่ 19 จักรพรรดิแห่งรัสเซียทรงส่งเสริมให้มีการผลิตไวน์อย่างจริงจัง ด้วยการนำเข้าองุ่นหลายสายพันธุ์มาจากฝรั่งเศส และเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง สหภาพโซเวียตก็ได้ปรับปรุงอุตสาหกรรมการทำไวน์ให้ทันสมัยและเป็นระบบยิ่งขึ้น ทำให้มอลโดวากลายเป็นศูนย์กลางการผลิตไวน์และผลองุ่นทั้งหมดของสหภาพโซเวียตนับแต่นั้นมา

14. อารามสงฆ์คัวร์คิ (Curchi Monastery)

หนึ่งในอารามออร์โธดอกซ์ที่งดงาม ร่ำรวย และสวยงามที่สุดในประเทศ จนได้รับสมญาว่า อัญมณีแห่งมอลโดวา ตั้งอยู่บนหุบเขาวาติซี (Vatici Valley) ริมฝั่งแม่นํ้าวาติก (Vatic River) สร้างขึ้นเมื่อปี 1773-1775 โดยกษัตริย์สเตฟานมหาราช

15. แหล่งโบราณคดีออร์เฮยูล เวคิ (Orheiul Vechi Archaeological Complex)

แหล่งโบราณคดีกลางแจ้ง ที่มีความสำคัญด้านวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังมีความสวยงามทางธรรมชาติ เนื่องจากตั้งอยู่ริม แม่นํ้าเราท์ (Raut River)’ ภายในพื้นที่ประกอบไปด้วยป้อมปราการ หมู่ถ้ำ อ่างเก็บนํ้า สุสาน โรงอาบนํ้า ซากอาคาร มัสยิด และอารามคริสต์ ซึ่งมีอายุย้อนหลังไปถึงช่วงอารยธรรมดาเซียน (Dacian Civilization) หรือเมื่อกว่า 2,000 ปีมาแล้ว

16. ป้อมปราการยุคกลาง (Medieval Fortress of Soroca)

สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 โดยกษัตริย์สเตฟานมหาราช (Stefan the Great) และถูกทำลายโดยการรุกรานของตาตาร์ (Tatar) จากอาณาจักรโกลเดนฮอร์ด (Golden Horde) ที่มีชัยเหนือภูมิภาคนี้ในศตวรรษที่ 15 และได้บูรณะป้อมขึ้นใหม่ โดยมีสุสานโบราณอยู่ใต้ป้อมปราการ ต่อมาในศตวรรษที่ 18 ชาวมอลโดวาจากหมู่บ้านบูตูเซนี (Butuceni) ในบริเวณใกล้เคียงได้อพยพเข้ามาอาศัยในบริเวณนี้ และได้เปลี่ยนถ้ำให้กลายเป็นบ้านเรือน และสุสานให้กลายเป็นห้องเก็บไวน์

17. พิพิธภัณฑ์โศกนาฏกรรมแห่งเบนเดอร์ (Museum of Bender Tragedy)

จัดแสดงเรื่องราวความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลมอลโดวากับแคว้นทรานส์นีสเตรีย ภายหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียตจนนำไปสู่การนองเลือดในเมืองเบนเดอร์ ที่เริ่มต้นในวันที่ 19 มิถุนายน ค.ศ. 1992 และการเข้าแทรกแซงของกองพลที่ 14 แห่งกองทัพรัสเซีย ที่ซึ่งปัจจุบันยังสามารถมองเห็นร่องรอยของการต่อสู้ ทั้งรอยกระสุนตามอาคารบ้านเรือนและซากปรักหักพังจากปืนใหญ่และระเบิดในตัวเมืองเบนเดอร์

18. เมืองติราสโพล (Tiraspol)

เเมืองที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมและกลิ่นอายแห่งยุคโซเวียต ทั้งสัญลักษณ์ค้อนเคียวและดาวแดงที่เห็นได้ทั่วไป ร่วมด้วยพระราชวังแห่งโซเวียต หรืออาคารรัฐสภา (Palace of Soviets; Parliament Building) อนุสารีย์เลนิน (Lenin Monument) อนุสาวรีย์อเล็กซานเดอร์ ซูโวรอฟ (Alexander Suvorov Statue) และจัตุรัสรัฐธรรมนูญแห่งโซเวียต (Square of Soviet Constitution)

จากนั้นเดินไปบน ถนน 25 ตุลาคม (October 25th Avenue) ถนนสายหลักของเมือง เพื่อชมอนุสรณ์สถานสงครามโลกครั้งที่ 2 (World War II Monument) และอนุสรณ์สถานสงครามอัฟกานิสถาน (Afghanistan War Monument)

19. มิเลสติ มิซิ ไวเนอรี่ (Milestii Mici Winery)

โรงบ่มไวน์ใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ด้วยอุโมงค์หินปูนลึกจากผิวดิน 35-85 เมตร และมีความยาวถึง 200 กิโลเมตร! ใช้เป็นที่เก็บไวน์ถึง 55 กิโลเมตร ซึ่งสามารถเก็บไวน์ได้มากถึง 2 ล้านขวด ถือได้ว่าเป็นคอลเล็กชั่นไวน์ที่มากที่สุดในโลก ตามบันทึกของกินเนสส์บุ๊ก โดยแบ่งเป็นไวน์แดง 70% ไวน์ขาว 20% และอีก 10% เป็นไวน์หวานก่อนอาหาร (Dessert Wine)

มีไวน์ที่มีชื่อเสียงคือ Milestii Mici Golden Collection ผลิตในปี 1969 หรือปีแรกของการเริ่มต้นทำธุรกิจ มาแล้วต้องชิมไวน์จากมิเลสติ มิซิให้ครบทั้ง 3 ชนิด พร้อมพายดั้งเดิมของมอลโดวา

20. กรุงคีซีเนา (Chisinau)

เพลิดเพลินไปกับ สวนสาธารณะแคทีดรัล (Cathedral Park) ขนาดใหญ่ใจกลางเมือง และไปชม อนุสาวรีย์กษัตริย์สเตฟานมหาราชและนักบุญ (Stefan the Great and Saint Monument) ผู้ทรงคุณูปการนานัปการแก่มอลโดวา จากนั้นไปชม จัตุรัสมหาสมัชชาแห่งชาติ (Great National Assembly Square) และ ประตูชัย (Triumph Arch) หรือบางครั้งเรียกว่า Holy Gates ที่สร้างเป็นอนุสรณ์ครั้งรัสเซียมีชัยเหนือจักรวรรดิออตโตมันในปี 1840

21. มหาวิหารนาสเตอเรีย ดอมนูลุย (Nasterea Domnului)

หรือ มหาวิหารแห่งพระกำเนิด (Nativity of the Mother of God Cathedral) สร้างขึ้นเมื่อปี 1836 ในสไตล์บาโรก นับเป็นโบสถ์ที่มีโดมสูงที่สุดในมอลโดวา สูงถึง 57 เมตร โดยได้รับแรงบันดาลใจจากโบสถ์เซนต์แอนดรูว์ (St. Andrew Church) ในกรุงเคียฟ ประเทศยูเครน ภายในมีภาพเขียนสีเฟรสโก ฝีมือ Bartolomeo Rastrelli สถาปนิกชาวอิตาเลียน และประกอบด้วยแท่นบูชาทั้งหมด 3 แท่น

22. โรงบ่มไวน์และโรงเก็บไวน์ใต้ดินคริโควา (Cricova Underground Winery and Cellars)

ตั้งอยู่ชานเมืองของกรุงคีซีเนา เป็นอุโมงค์ใต้ดินขนาดใหญ่ ลึกราว 80 เมตร และมีความยาวถึง 120 กิโลเมตร ภายในมีทั้งถนน คลังสินค้า และห้องชิมไวน์ โดยตลอด 50 ปีที่ผ่านมา มีการใช้อุโมงค์ใต้ดินแห่งนี้ ซึ่งมีอุณหภูมิคงที่ที่ 12 องศาเซลเซียส และความชื้น 82-95% สำหรับการบ่มและเก็บรักษาไวน์ชั้นเยี่ยมบางชนิดของยุโรป

โดยถังและขวดจำนวนมากที่เรียงแถวซ้อนกันอยู่ในอุโมงค์ระยะทางกว่า 60 กิโลเมตรนี้ สามารถเก็บไวน์ได้ถึง 350 ล้านลิตรเลยทีเดียว นอกจากนั้นแล้วคริโควาไวเนอรี ยังมีชื่อเสียงในฐานะผู้ผลิตสปาร์กลิงไวน์คุณภาพดี ด้วยเทคนิคการผลิตไวน์แบบฝรั่งเศสดั้งเดิมอีกด้วย

สนใจเที่ยวโรมาเนีย-มอลโดวา
โทร. 09 8885 8842 / 09 8865 2094

 

Close